๓๐ แนวทางหลวงตา แบ่งเบาปัญหาหนี้สินชาติ
p30.3.jpg ตามที่รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาสถาบันการเงิน   เพื่อรักษาเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบสถาบันการเงิน โดยมอบหมายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(กองทุนฟื้นฟูฯ) เป็นตัวแทนดำเนินการและส่งผ่านมาตรการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของสถาบันการเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ การดำเนินการตามแผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยการเพิ่มทุนเพื่อแก้ไขหนี้ด้อยคุณภาพ และมาตรการอื่นๆ อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดตามภาระหน้าที่ข้างต้นนั้น เป็นผลให้กองทุนฟื้นฟูฯ ประสบปัญหาทางการเงินและสภาพคล่องตลอดมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยประมาณการความเสียหายทั้งสิ้น ๑,๔๐๑,๔๕๐ ล้านบาท (ดังปรากฏในตารางที่ ๑) และเนื่องจากหนี้จำนวนมหาศาลนี้ตกเป็นภาระของรัฐบาลต้องหามาชดใช้ รัฐบาลจึงใช้วิธีง่ายที่สุดเข้าแก้ปัญหาด้วยการร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการ ร่างกฎหมายรวมบัญชี เพื่อเอาสินทรัพย์ในคลังหลวงมาแบ่งส่วนกันโดยในระยะนั้นเรียกกันว่า แบ่งเค้กกันกิน ซึ่งในขณะนั้นหลายฝ่ายอาจจะลืมนึกไปว่า เค้กก้อนนี้มีความเป็นมาที่ยาวนานก่อกำเนิดขึ้นมาจากพระราชทรัพย์ของp30.1.jpg 

บูรพกษัตริย์ ซึ่งในอดีตบรรพบุรุษท่านก็เผชิญกับวิกฤตการณ์ต่างๆ ผ่านช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ และ ๒ บางครั้งต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เงินเฟ้อเงินฝืดอย่างรุนแรง เรียกว่าท่านต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มาไม่น้อยและไม่ได้เบาไปกว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ท่านก็ไม่เคยคิดแก้ปัญหาด้วยการเข้ามาแตะต้อง คลังหลวง ท่านพยายามเสาะหาหนทางแก้ไขด้วยวิธีการอื่นซึ่งก็ปรากฏผลดีสามารถบรรเทาเหตุการณ์ร้ายแรงให้ทุเลาลงได้ แต่ในปัจจุบันรัฐบาลกลับมิได้คิดในแนวทางของบรรพบุรุษ

p30.2.jpg
รัฐบาลคิดแก้ปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ จำนวน ๑.๔ ล้านล้านบาทนี้ด้วย การรวมบัญชี โดยในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๔๓ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้ากราบนมัสการหลวงตา ที่สวนแสงธรรม เพื่อขอชี้แจงถึงความจำเป็นของ กฎหมายรวมบัญชี ซึ่งหลวงตาและp30.3.jpg 

ประชาชนไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ และได้ให้เหตุผลแก่รัฐบาลทั้งในด้านธรรมเทศนาและในเชิงวิชาการมาโดยตลอดก่อนที่รัฐบาลจะเข้าชี้แจงในวันนี้ อย่างไรก็ตามหลวงตาเมตตากล่าวย้ำกับรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งในวันนั้นมีใจความสำคัญว่า หลวงตาไม่เห็นด้วยกับการรวมบัญชี เพราะเท่ากับเป็นการทุบตุ่มคลังหลวงให้สูญสิ้นไป แต่หากมีความจำเป็นจริงๆ ไม่อาจแก้ไขได้โดยวิธีอื่นอีกแล้ว จะตักไปขันสองขันจากตุ่มคลังหลวงก็อาจพอได้ แต่ในเวลานั้นรัฐบาลยังไม่เข้าใจความหมายของหลวงตา จึงมิได้ดำเนินการตามกุศโลบายเช่นว่านี้แต่อย่างใด

p30.4.jpg

กระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เข้ากราบหลวงตา เพื่อขอปรึกษาปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ กองเดียวกันนี้ว่า จะขอแก้ไขด้วยวิธีการขึ้นภาษี เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมาทยอยใช้หนี้จำนวนมหาศาลนี้ จะเป็นการเหมาะสมอย่างไร ผลปรากฏว่า หลวงตาคัดค้านในทันทีและกล่าวด้วยความห่วงใยชาวไทยว่า
ทุนสำรองเงินตรา (คลังหลวง) ฝ่ายออกบัตร(พ.ร.บ..เงินตรา พ.ศ. ๒๕๐๑)
 ธนาคารแห่งประเทศไทย(ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง)
ทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

(พ.ร.บ..ทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา พ.ศ. ๒๔๙๘)

กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(พ.ร.ก.แก้ไขพ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๘) 
ทุนสำรองทั่วไป  ฝ่ายการธนาคาร(พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๔๘๕)
แบกภาระหนี้1.4 ล้านล้านบาท
2
1
3

...วิธีนี้ไม่ควร จะเป็นการซ้ำเติมพี่น้องประชาชนจนเกินไป แค่นี้ก็บอบช้ำกันมากพอแล้ว…”          ในระยะต่อมาผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้เดินทางไปถึงวัดป่าบ้านตาดอีกครั้งหนึ่ง และกราบเรียนปรึกษาหลวงตาว่า จะเหมาะสมหรือไม่ หากแก้ปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ กองเดิมนี้ โดยยึดหลักว่ารัฐบาลจะขอเฉพาะดอกผลของคลังหลวงที่จะมีขึ้นทุกๆ ปี และย่อมรวมถึงดอกผลของเงินบริจาคหลวงตาด้วย มาทยอยใช้หนี้ ทั้งนี้จะไม่แตะเงินต้นของคลังหลวงและเงินต้นของเงินบริจาคหลวงตาแต่อย่างใด ถ้าหลวงตาพิจารณาแล้วเห็นเหมาะสม จะใช้เวลา ๒๐-๓๐ ปีจึงจะหมดหนี้ ผลปรากฏว่าหลวงตาพิจารณาแล้วเห็นด้วยกับแนวทางนี้แท้ที่จริงแล้วแนวทางแก้ปัญหาข้างต้นนี้ หลวงตาได้แสดงธรรมกล่าวไว้ก่อนแล้วหลายครั้งหลายหนแต่มิได้มีผู้ใดนำเทศนาของp30.5.jpg  ท่านไปขบคิดเพราะคนทั่วไปไม่คาดคิดว่าหลวงตาจะสามารถเข้าใจล่วงรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องปัญหาการเงินการคลังของชาติที่เกี่ยวข้องกับคลังหลวง หลวงตาเมตตาแนะแนวทางแก้ปัญหาหนี้สินชาติโดยเปรียบ คลังหลวง เป็น ตุ่มใหญ่ เมื่อถึงภาวะจำเป็นจริงๆ สามารถใช้ ขันเล็กๆ มาตักน้ำจากตุ่มใหญ่ได้ ตักแต่น้อยแบบเห็นคุณค่า และตักเฉพาะน้ำส่วนที่ล้นจากตุ่มเท่านั้น ไม่ให้ทุบตุ่มให้พังไปซึ่งจะเป็นการทำชาติให้ล่มจม และคนไทยก็จะหมดสิ้นศักดิ์ศรีไม่ต่างอะไรกับ หมาไทย ดังพระธรรมเทศนาต่อไปนี้ ตุ่มใหญ่ที่แห้งผาก จะมีความหมายอะไร          ...ใครจะมาแตะต้องมาทำลายสมบัติกองนี้ไม่ได้นะ นี่เป็นความถูกต้องโดยธรรมแล้ว ... ถ้าทำจากนี้ผิด ทั้งเงินนี้ก็จะล่มจมลงไปไม่มีอะไรเหลือ ถ้าลงเข้าได้แล้วก็หมด เหมือนน้ำเปิดช่องให้ไหลออก ออกจนหมด หมดตุ่ม หมดไห หมดบึงก็ได้ เมื่อเปิดไม่หยุด เมื่อเปิดเข้าไปแล้วก็ต้องเป็นอย่างนั้น ฉิบหายหมดไม่มีอะไรเหลือ น้ำนั้นจะไหลไปเพื่อประโยชน์ส่วนไหนๆ ก็ตาม แต่ไม่เห็นมีความหมายอะไรเลย ยิ่งกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสระใหญ่ที่หมดน้ำแล้ว แห้งผากหมดแล้ว ตุ่มใหญ่นี้หมดแล้ว แห้งผากหมดแล้ว เอาไปฟื้นฟูที่ไหนก็ไม่เกิดประโยชน์เลย ...ให้เก็บเอาไว้สมบัติกองนี้ ใครอย่ามาแตะต้อง มนุษย์ตาดำๆ ด้วยกันย่อมรู้จัก แม้แต่เด็กก็รู้ว่านี่คือสมบัติใหญ่ ส่วนกลางของชาติไทยเรา เด็กเขาก็รู้ ทำไมผู้ใหญ่จะไม่รู้ ถ้าไม่ตะกละตะกลาม เป็นเปรตเป็นผี เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นมหาภัยต่อชาติบ้านเมืองแล้ว มาทำไม่ลง ทำไม่ได้ว่างั้นเลย ต่างคนต่างทะนุถนอม รักษา ดีไม่ดีหามาเพิ่มเติมอีก นั่นจะเป็นที่ชมเชยสรรเสริญของชาติไทยเรา... ชาติไทย : หมาไทย          ...อย่าหาเรื่องหาราวเข้ามาเอาไฟเผาคลังหลวงทั้งคลังให้เสียหายหมดทั่วประเทศไทยเรา หมดเลย ไม่มีคุณค่าไม่มีราคา เหมือนหมา ๖๒ ล้านตัวอยู่ในนี้ ถ้าเงินกองนี้ได้หลุดไปแล้ว เท่ากับชาติไทยของเรา ๖๒ ล้านคน ย่อมๆ ๖๒ ล้านคน กลายเป็นหมา ๖๒ ล้านตัว ไม่ได้มีคุณค่ามีราคาอะไรเลย เครื่องประกันตัวของหมาไม่มี เจ้าของของหมาไม่มี คือสมบัติอันใหญ่นี้เป็นเจ้าของของหมาไม่มี หมาปราศจากเจ้าของฉิบหายไปได้อย่างง่ายดาย เรียกว่าจม จมทั้งประเทศไปเลย          p30.6.jpgหลักใหญ่แห่งชาติไทยของเราอยู่ที่ไหน อยู่ที่คลังหลวงนี้เท่านั้น ไม่ได้อยู่ที่ไหนนะ อยู่ที่คลังหลวง สง่าราศีทุกสิ่งทุกอย่างว่าประเทศไทย ที่มีหน้ามีตาเหมือนเขาก็คืออันนี้เป็นตัวประกัน คลังหลวงนี้เป็นตัวประกันแห่งชาติไทยของเราให้มีศักดิ์ศรีดีงามเหมือนชาติทั้งหลายเขา ถ้าลงนี้ได้ขาดสะบั้นลงไปแล้วหมดความหมาย ชาติไทยคือหมาไทย ว่างั้นเลย…” ขันเล็กๆ ตักน้ำ ยามจำเป็น            แม้หลวงตาท่านจะให้สงวนรักษาคลังหลวงอย่างสูงสุด เนื่องจากต้องคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยเป็นอันดับแรก เพียงเก็บรักษาคลังหลวงเป็นปกติก็เป็นคุณเอนกอนันต์ต่อชาติอยู่แล้ว แต่หากมีความจำเป็นจริงๆ ก็อาจนำออกได้เล็กน้อยไม่ให้เสียส่วนใหญ่ ซึ่งเทศนาของหลวงตาในครั้งนี้พอจะเข้ากันได้กับการแก้ปัญหาหนี้สินชาติจำนวนมหาศาล ดังนี้
          ...แล้วเวลาเก็บไว้อย่างนี้ก็ไม่ได้บอกว่า เก็บไว้ให้เป็นแบบขอนซุงทั้งท่อนนะ รากฐานอันใหญ่โตให้เอาไว้คงเส้นคงวา เหมือนอย่างน้ำในตุ่มในไหใหญ่ๆ เราเก็บไว้ตุ่มใหญ่ๆ นี้คือคลังหลวงของเรา หากว่ามีความจำเป็นจะมาตักเอาน้ำนี้ออกเป็นเล็กๆ น้อยๆ p30.7.jpg  เพื่อไปชโลมๆ ที่จำเป็นๆ ให้ชุ่มเย็นขึ้นมา ก็ตักออกได้ แต่ไม่ให้เอามาก ให้เอาเพียงเล็กน้อย ไม่ให้เสียส่วนใหญ่          นี่คือเงินคลังหลวงนี้ ไม่ได้ให้เก็บไว้เฉยๆ เมื่อมีพอเป็นไปแล้ว คลังหลวงนี้มีรากฐานสำคัญไว้แล้ว เศษเหลือจากนั้นก็ไปช่วยประเทศไทยได้ทั้งประเทศ ที่นั้นบ้าง ที่นี้บ้าง เหมือนกับเอาแก้วเล็กๆ ไปตักน้ำออกไป ตักจากตุ่มใหญ่นี้ออกไปช่วยทางนั้นทางนี้ ไม่ให้เสียส่วนใหญ่ นี่เราก็พิจารณาหมด ก็แสดงตามนั้น อย่าได้มาแตะต้อง ผู้รักษาต้องเป็นผู้รักษาจริงๆ เข้มงวดกวดขันโดยอรรถโดยธรรม ถ้าจะแยกแยะออกไปไหน เหมือนเราตักน้ำอยู่ในตุ่ม ขันเล็กๆ นี้มาตักออกไป แต่ไม่ให้ตุ่มใหญ่กระเทือน เอาแยกออกไปช่วยทางนู้นทางนี้ เพราะชาติไทยของเราทั้งชาติต้องอาศัยเงินก้อนนี้แหละ            เวลาจำเป็นจริงๆ เงินก้อนนี้เป็นตัวประกันชาติไทยของเรา หากเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นมาจะเอาไหน ก็ต้องเอาอันนี้แหละออกช่วยเพื่อเอาตัวรอด ชาติไทยของเราไม่มีนี้ประกันก็จมหมดเลย นี้อันหนึ่งนะ เพราะฉะนั้นเวลาใช้ก็ต้องได้ใช้ด้วยความระมัดระวังทุกอย่าง เรียกว่าใช้แบบที่ว่า เอาขันเล็กๆ ไปตักออกมา เล็กๆ ตักออกมาจากสิ่งที่เหลือแล้ว มันเต็มโอ่งแล้ว ทีนี้มันจะล้นแล้ว ทีนี้ก็ตักออกไปใช้ มันจะล้นโอ่งแล้วตักออกไปใช้ ตักออกไปใช้อย่าให้มันล้นโอ่งออกไปทิ้งเปล่าๆ ...ล้นโอ่ง ใช้ได้..ทุบโอ่ง จมp30.8.jpg ...เก็บไว้เฉยๆ เป็นซุงก็ไม่เกิดประโยชน์ ให้แยกอันนี้ออกไป พอเต็มโอ่งแล้ว ระดับเต็มโอ่งแล้วให้เก็บไว้ ที่มันจะล้นโอ่งไปนั้นให้ตักออกๆ ไปใช้ประโยชน์ทั่วประเทศไทย นี่เป็นมงคล ถ้าไปเอาทั้งตุ่มแล้วจมเลย ไม่มีอะไรเป็นมงคล ตกนรกทั้งเป็นคือเมืองไทยเรา ๖๒ ล้านคนนี้ กระเทือน โลกไหนเขาก็ไม่เคยตกนรกทั้งเป็น แต่เมืองไทยเรานี้มาตกนรกทั้งเป็น เพราะชาติไทยเราสังหารชาติไทยเราเอง          ...ถ้าอยู่ด้วยความเป็นธรรม นำออกไปใช้ด้วยความเป็นธรรมดังที่ว่านี้แล้วเป็นธรรมตลอดไป เก็บไว้ก็เป็นธรรม เป็นสิริมงคลอบอุ่นแก่ชาติไทยของเราตลอดไป ถึงไม่นำมาใช้ความอบอุ่นของชาติไทยก็อยู่นี้หมด คือใช้แล้วด้วยความอบอุ่น ใช้กันอยู่แล้วประจำมา เป็นความอบอุ่นของชาติไทยตลอดมาเพราะเงินกองนี้ ไม่เป็นประโยชน์ได้ยังไง เก็บไว้ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ยังไง ชาติไทยเราเย็นทั้งบ้านทั้งเมืองหรืออบอุ่นกันทั้งบ้านทั้งเมืองเพราะสมบัติกองนี้ นี้ประโยชน์เกิดจากสมบัติกองนี้ ไม่เกิดประโยชน์ได้ยังไง ฟังซิน่ะ ให้พิจารณาทุกคนๆ ให้เข้มงวดกวดขันนะ…”