๓๓ ปี ๒๕๕๐ แนวคิดล้วงคลังหลวง
p33.2.jpg ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ รัฐบาลได้ออก พระราชบัญญัติยุบเลิกทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์เพื่อยุบเลิกทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราหรือยุบเลิกทุนสำรองโอ่งที่ ๓ ที่ได้ก่อตั้งไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ทั้งนี้สืบเนื่องจากกระทรวงการคลังได้ออกประกาศเรื่องการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา ลงวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ให้ใช้ค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไปตามภาวะตลาด และให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท ส่งผลให้ทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราไม่ต้องทำการซื้อขายเงินตราต่างประเทศและรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราให้มีเสถียรภาพเหมาะสมแก่สถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินของประเทศอีกต่อไป
 
ยกเลิกทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (โอ่งที่ ๓)
2
1
3
 
 
ในระยะ ๑๐ ปีที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนกฎหมายด้านการเงินหลายฉบับนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ จนถึง พ.ศ. ๒๕๕๐ สำหรับกฎหมายที่มีผลบังคับใช้อยู่ในขณะนี้นั้น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ได้เขียนบทความอธิบายไว้ ดังนี้p33.1.jpg          ...พระราชบัญญัติเงินตราเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินตราและการรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน  รวมทั้งวิธีการจัดการ ทุนสำรองเงินตราซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ใช้หนุนหลังธนบัตรออกใช้ในระบบเศรษฐกิจ โดยกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.[1]) หรือแบงก์ชาติทำหน้าที่นี้ โดยมีเป้าหมายในการดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพของค่าเงินบาท          ในการจัดทำบัญชีนั้น กฎหมายเงินตรากำหนดให้แบงก์ชาติแยกทุนสำรองเงินตราจากการทำธุรกิจอื่น ดังนั้น ในทางปฏิบัติ แบงก์ชาติจึงจัดทำงบการเงิน ๓ งบ (ดูแผนภูมิประกอบ) ได้แก่ งบการเงินของ ทุนสำรองเงินตราซึ่งแยกต่างหากจากงบการเงินของ ฝ่ายการธนาคาร(งบของแบงก์ชาติเอง) และงบการเงินของ ฝ่ายออกบัตรธนาคาร(กิจการธนบัตรและโรงพิมพ์ธนบัตร)          สำหรับงบทุนสำรองเงินตรานั้น ประกอบด้วย บัญชีย่อย ได้แก่ ๑)บัญชีทุนสำรองเงินตรา ที่มีไว้หนุนหลังการออกธนบัตรใช้ ๒)บัญชีผลประโยชน์ประจำปี ซึ่งเป็นเสมือนบัญชีแสดงรายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละปี โดยหากมีเงินเหลือในบัญชีต้องนำไปชำระคืนต้นเงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายในอดีตให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ๓)บัญชีสำรองพิเศษ เป็นเสมือนบัญชีกำไรสะสมที่เก็บรักษาไว้

          ทุกครั้งก่อนที่จะนำธนบัตรออกใช้ แบงก์ชาติจะต้องนำสินทรัพย์ (เช่น ทองคำ เงินตราต่างประเทศที่ฝากในธนาคารนอกประเทศหรือในสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และหลักทรัพย์ต่างประเทศ เป็นต้น) จาก ฝ่ายการธนาคารไปใส่ในบัญชีทุนสำรองเงินตรา (นำสินทรัพย์จากบัญชี ๑ มาใส่ในบัญชี ๓.๑) ก่อน แบงก์ชาติจึงจะนำธนบัตรออกมาใช้ในระบบได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ.  ๒๕๔๐ แบงก์ชาติประสบปัญหาทางการเงิน โดยในปี พ.ศ.  ๒๕๔๔


[1] ธปท.มิใช่ผู้บริหารจัดการทุนสำรองเงินตรา แต่อยู่ในฐานะเป็นเพียงผู้ดูแลรักษาเท่านั้นp33.2.jpg  แบงก์ชาติมีสินทรัพย์ต่างประเทศประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท (ซึ่งบางส่วนมาจากการกู้ยืม) และมีส่วนของทุนติดลบอยู่ถึง ๑๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ทำให้แบงก์ชาติไม่มีสินทรัพย์เพียงพอต่อการนำไปหนุนหลังธนบัตรออกใช้
                     : ข้อมูล ณ ๓๑ ธ.ค. ๒๕๔๙                                                 *หมายเหตุ  ประเด็นนี้นักวิชาการไม่เห็นด้วยดังจะอธิบายในบทต่อๆ ไป                 
งบการเงิน ธปท.
๑. งบฝ่ายการธนาคาร(งานธนาคารกลาง)
๒. งบฝ่ายออกบัตรธนาคาร(กิจการธนบัตร โรงพิมพ์ธนบัตร)
๓. งบทุนสำรองเงินตรา(การบริหารจัดการธนบัตร และทุนสำรองเงินตรา)
๓.๑ บัญชีทุนสำรองเงินตรา๗๙๔,๔๘๕ ล้านบาท
๓.๒ บัญชีผลประโยชน์ประจำปีหักค่าใช้จ่ายในกรณีต่อไปนี้·   การพิมพ์และจัดตั้งโรงพิมพ์·   การออกและจัดการธนบัตร·   การด้อยค่าของสินทรัพย์·   การจัดการสินทรัพย์
๓.๓ บัญชีสำรองพิเศษ๗๙๕,๔๑๖ ล้านบาท ทั้งนี้เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับบริจาคจากหลวงตามหาบัวเมื่อปี ๒๕๔๕ จำนวน ๘,๔๖๘ ล้านบาท
๔. เงินคงคลัง
หนุนหลังธนบัตร๗๙๔,๔๘๕ ล้านบาท 
ชำระหนี้ FIDF
·   เก็บรักษา·   โอนไปหนุนหลังธนบัตร๒๒๕,๐๐๐ ล้านบาท* 
ดังนั้น จึงมีการแก้ไขกฎหมายเงินตราในปี พ.ศ.  ๒๕๔๕ โดยออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเงินตราเพื่ออนุญาตให้แบงก์ชาตินำสินทรัพย์ในบัญชีสำรองพิเศษไปหนุนหลังการออกธนบัตรได้ กล่าวคือ เมื่อพิจารณาจากแผนภาพ แบงก์ชาติสามารถนำสินทรัพย์จาก บัญชี ๓.๓ มาใส่ในบัญชี ๓.๑ เพื่อหนุนหลังการออกธนบัตร ซึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทางในการนำสินทรัพย์ต่างประเทศไปหนุนหลังการออกธนบัตร จากเดิมที่อนุญาตให้แบงก์ชาตินำสินทรัพย์จากฝ่ายการธนาคารมาหนุนหลังการออกธนบัตรเท่านั้น ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.  ๒๕๔๕ จนถึงสิ้นปี พ.ศ.  ๒๕๔๙ แบงก์ชาติได้นำสินทรัพย์จากบัญชีสำรองพิเศษไปหนุนหลังธนบัตรแล้วเป็นจำนวน ๒๒๕,๐๐๐ ล้านบาท...p33.3.jpg
 แก้พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย..ส่อเค้าเอื้อมมือเข้าคลังหลวง          ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ รัฐบาลมีมติให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๔๘๕ เรียกว่า พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ นี้ ถึงแม้กฎหมายฉบับนี้จะไม่ได้รับการคัดค้านจากประชาชน อย่างไรก็ตาม เนื้อหาบางมาตรายังส่อเค้าให้เห็นว่า ขัดต่อหลักการและเจตนารมณ์ของ คลังหลวง บรรพบุรุษท่านได้กำหนดแนวทางไว้ คือ ท่านไม่ยอมให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าไปบริหารจัดการคลังหลวง แต่เดิมเพียงกำหนดให้ทำอะไรได้บ้างหรือทำไม่ได้บ้างในฐานะ ผู้ดูแลรักษา เท่านั้น มิใช่ในฐานะ ผู้บริหารจัดการ อันเปรียบเสมือนว่าได้กลายเป็นเจ้าของทรัพย์ในคลังหลวงแล้วซึ่งย่อมไม่ใช่เจตนารมณ์แท้จริงของบรรพบุรุษ          เพื่อให้เห็นถึงความคิดล้มล้างหลักการเดิม จึงขอสรุปเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องและมีผลกระทบกับคลังหลวง  ดังนี้๑.     ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกระทำกิจการต่างๆ ถึง ๑๑ ข้อ (มาตรา ๘)ผลกระทบ  ในข้อที่ ๘ เป็นการทำลายหลักการเดิม โดยให้อำนาจแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาบริหารจัดการสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตราหรือคลังหลวงได้ และแม้จะเขียนทิ้งท้ายว่า ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา แล้วก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันกลับเป็นการประกาศเจตนาอย่างโจ่งแจ้งว่า จะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา เพราะตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรานี้ไม่ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาบริหารจัดการแต่อย่างใดหลักการเดิม ในกฎหมายเดิมไม่ให้ใช้ถ้อยคำว่าให้ธนาคารแห่งประเทศไทย บริหารจัดการทุนสำรองเงินตรา แต่ให้ใช้คำว่า รักษาทุนสำรองเงินตรา ซึ่งความหมาย ๒ อย่างนี้มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งในแง่พฤตินัยและนิตินัย และขัดต่อเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษโดยสิ้นเชิงเช่นกันp33.4.jpg ๑.  . ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจหน้าที่บริหารจัดการสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการนำสินทรัพย์นั้นไปลงทุนหาประโยชน์ด้วย ทั้งนี้ ไม่หมายความรวมถึงสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตรา ตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา (มาตรา ๓๕) ผลกระทบ  ไม่มีผลกระทบ เพราะการบริหารจัดการดังกล่าวไม่ได้หมายถึงทุนสำรองเงินตราหรือคลังหลวง มาตรานี้ใช้ถ้อยคำเหมาะสมดีแล้วหลักการเดิม ไม่ขัดต่อหลักการและเจตนารมณ์เดิมในการปฏิบัติต่อ คลังหลวงให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจหน้าที่บริหารจัดการสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการนำสินทรัพย์นั้นไปลงทุนหาประโยชน์ด้วย ทั้งนี้ ไม่หมายความรวมถึงสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตรา ตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา (มาตรา ๓๕)ผลกระทบ  ไม่มีผลกระทบ เพราะการบริหารจัดการดังกล่าวไม่ได้หมายถึงทุนสำรองเงินตราหรือคลังหลวง มาตรานี้ใช้ถ้อยคำเหมาะสมดีแล้วหลักการเดิม ไม่ขัดต่อหลักการและเจตนารมณ์เดิมในการปฏิบัติต่อ คลังหลวงในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ รัฐบาลมีมติให้แก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๔๘๕ เรียกว่า พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยให้เหตุผลว่า ·    สมควรปรับปรุงวัตถุประสงค์ อำนาจหน้าที่ และโครงสร้างของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้เหมาะสมกับการดำเนินภารกิจอันพึงเป็นงานของธนาคารกลางในการดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางการเงิน เสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและระบบการชำระเงิน ตลอดจนสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ·    สมควรให้มีคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและมาตรการต่างๆ เฉพาะที่จำเป็นในแต่ละด้าน ได้แก่ คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน และคณะกรรมการระบบการชำระเงิน เพื่อให้การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและระบบสถาบันการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทันต่อเหตุการณ์และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจทางการเงินของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และให้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการกิจการของธนาคารแห่งประเทศไทยและการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของธนาคาร·        กำหนดการป้องกันการมีส่วนได้เสียของผู้ว่าการ กรรมการ พนักงาน และลูกจ้างของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อการบริหารงานที่โปร่งใส·    กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินเป็นส่วนรวม·    กำหนดประเภทสินทรัพย์และเครื่องมือในการดำเนินนโยบายเพื่อการดูแลเสถียรภาพการเงินและระบบสถาบันการเงิน และการบริหารจัดการสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มประเภทเงินสำรอง และมีระบบการจัดทำบัญชี การตรวจสอบ และการรายงานที่เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพและคล่องตัวสำหรับเงินสำรองของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ประกอบด้วย ๑. เงินสำรองธรรมดา ตั้งไว้เผื่อขาดทุน ๒.เงินสำรองอันเกิดจากการตีราคาสินทรัพย์และหนี้สิน ๓. เงินสำรองประเภทอื่นเพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะ  และสำหรับกำไรสุทธิของธนาคารแห่งประเทศไทยในแต่ละปี เมื่อหักผลขาดทุนสะสมคงเหลือหากมีให้กันเงินไว้ในข้อ ๑ และข้อ ๓ ตามลำดับ หากมีเงินคงเหลืออีกให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน·    เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากได้ใช้บังคับแล้ว จึงสมควรยกเลิกอำนาจของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในการให้ความช่วยเหลือแก่สถาบันการเงินผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้ของสถาบันการเงิน ในกรณีที่สถาบันการเงินประสบวิกฤตทางการเงินอย่างร้ายแรง เพื่อให้กองทุนฯ ยุติบทบาทหน้าที่ในเรื่องดังกล่าว โดยยังคงให้ทำหน้าที่ในการบริหารสินทรัพย์ต่อไป เพื่อชำรหนี้สินและภาระผูกพันที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เสร็จสิ้นแก้ พ.ร.บ.เงินตรา..ทำลายหลักการบรรพชนเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะรัฐมนตรีมีมติรับ ร่างพระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ทั้งนี้เพื่อปรับปรุงบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน และเพื่อให้การบริหารจัดการสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตรามีความคล่องตัวเหมาะสมกับเศรษฐกิจที่พัฒนาและสภาวการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อันเป็นการรักษาเสถียรภาพทางระบบเงินตราของประเทศ เนื่องจากพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๕๐๑ ได้มีผลใช้บังคับมาเป็นเวลานาน           สำหรับสาระสำคัญของการแก้ไขกฎหมายเงินตราฉบับนี้ สรุปเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคลังหลวง  ดังนี้๑. เพิ่มประเภทของหลักทรัพย์ต่างประเทศที่จะประกอบขึ้นเป็นทุนสำรองเงินตรา และเพิ่มกรณีการออกกฎกระทรวงให้สามารถกำหนดหลักทรัพย์ที่ออกโดยองค์การหรือนิติบุคคลต่างประเทศอื่นได้ด้วย ผลกระทบ       เป็นการให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังนำสินทรัพย์ในคลังหลวงไปลงทุนในตราสารที่ออกโดยองค์การเอกชนหรือนิติบุคคลp33.5.jpg  ต่างประเทศที่มีผลตอบแทนสูงกว่า แต่ก็ทำให้มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เปิดกว้างไร้ขอบเขตและมีความเสี่ยงมากขึ้น  และอาจเป็นช่องทางให้แสวงหาผลประโยชน์เข้าตนเองและพวกได้ง่ายหลักการเดิม    จำกัดอำนาจธนาคารแห่งประเทศให้ปฏิบัติต่อ คลังหลวง ในขอบเขตที่มั่นคงปลอดภัย โดยจำกัดประเภทของหลักทรัพย์ให้มีความมั่นคงสูง ผลตอบแทนแม้ไม่มากแต่ความเสี่ยงน้อย นอกจากนี้ยังจำกัดอำนาจกระทรวงการคลังมิให้เข้ามากำหนดกฎเกณฑ์หลักทรัพย์ที่จะประกอบขึ้นเป็นคลังหลวง เพื่อมิให้การเมืองเข้ามาแทรกแซง คลังหลวง ๒. เพิ่มเงินตราต่างประเทศ ที่ฝากกับสถาบันการเงินต่างประเทศนอกราชอาณาจักร และ สถาบันผู้เก็บรักษาหลักทรัพย์นอกราชอาณาจักร เป็นสินทรัพย์ที่จะประกอบขึ้นเป็นทุนสำรองเงินตรา รวมทั้งเพิ่มเติมให้รัฐมนตรีกำหนดคุณสมบัติหรือลักษณะของผู้รับฝากหรือผู้เก็บรักษาเงินตราต่างประเทศผลกระทบ       เป็นการเปิดกว้างให้นักการเมืองมีอำนาจเข้ามาบริหารจัดการสินทรัพย์ในคลังหลวงได้อย่างไม่มีขอบเขต อาจกำหนดคุณสมบัติหรือลักษณะและตั้งกฎเกณฑ์เพื่อมุ่งเอาผลประโยชน์เข้าตนเองหรือพวกพ้องได้หลักการเดิม    จำกัดอำนาจของนักการเมืองมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับ คลังหลวง และมีเจตนารมณ์ให้ คลังหลวง เป็นทรัพย์ที่อยู่เหนือนโยบายของรัฐบาล โดยกันไว้มิให้ปะปนกับทรัพย์กองอื่น เพื่อให้เป็นทรัพย์ของแผ่นดินประเภทเก็บรักษาให้มั่นคงปลอดภัยสูงสุด มิใช่เพื่อการใช้จ่ายหรือนำไปเก็งกำไร
วันที่ เหตุการณ์
27 ก.พ.50 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ. เงินตรา (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยหลังจากนี้จะถูกส่งต่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแก้ไข ก่อนนำเสนอ สนช. พิจารณาในลำดับต่อไป
2  ส.ค. 50 คณะรัฐมนตรีเสนอโดย นายกรัฐมนตรี  นำเสนอเอกสารประกอบการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. เงินตรา  ( ฉบับที่ ... )  พ. ศ. ...  ต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  ( สนช. )  เพื่อให้ สนช. พิจารณาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  ( ชั่วคราว )  พ.ศ. 2549
18 ก.ย. 50 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างแก้ไข พ.ร.บ. เงินตราแล้ว โดยเพิ่มข้อห้ามการนำสินทรัพย์จากบัญชีทุนสำรองพิเศษ เข้าบัญชีทุนสำรองเงินตราเพื่อหนุนหลังการออกใช้ธนบัตร เตรียมนำเสนอเข้า สนช.
26  ก.ย.  50 คณะรัฐมนตรีเสนอโดย นายกรัฐมนตรี  นำเสนอเอกสารประกอบการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. เงินตรา  ( ฉบับที่ ... )  พ. ศ. ...  ต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  ( สนช. )  เพื่อให้ สนช. พิจารณาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย    พ.ศ. 2550
1 ต.ค. 50 หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้มอบหมายให้คณะพระภิกษุนำหนังสือมอบให้รัฐบาล (เรื่อง ขอแก้ไขในส่วนของมาตรา 16 เรื่อง ของบัญชีทุนสำรองเงินตรา กับบัญชีทุนสำรองพิเศษ) เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ. เงินตรา ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
3 ต.ค. 50 รัฐบาลขอเลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. เงินตรา ออกไป
6 ต.ค. 50 รมว. กระทรวงการคลัง ได้ถอนเรื่อง พ.ร.บ. เงินตรา ออกจากการพิจารณาของ สนช. ถึง 3 ครั้ง เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง นำกลับไปแก้ไขปรับปรุงใหม่
9 ต.ค. 50  คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. เงินตราให้เหมาะสมอีกครั้ง และจะเสนอกลับเข้าคณะรัฐมนตรีได้ใหม่ในปลายเดือนตุลาคมนี้ ก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.
30 ต.ค. 50 รมว. กระทรวงการคลัง จะเสนอร่าง พ.ร.บ. เงินตรา ที่ได้นำกลับปรับปรุงใหม่ เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อีกครั้ง
 ๓. เปลี่ยนวิธีการบันทึกผลกำไรขาดทุนจากการตีราคาสินทรัพย์และจากการจำหน่ายสินทรัพย์ โดยให้บันทึกผลกำไรขาดทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ในบัญชีสำรองพิเศษ ส่วนกำไรขาดทุนจากการจำหน่ายสินทรัพย์ให้บันทึกในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีผลกระทบ       การบันทึกบัญชีแบบใหม่นี้ ทำให้ตลอด ๒๐-๓๐ ปีจากนี้ไป หากปีใดขาดทุนจากการตีราคา กฎหมายปี พ.ศ.  ๒๕๔๕ กำหนดให้นำกำไรสุทธิในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีไปจ่ายหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ก่อน ซึ่งส่งผลให้มูลค่าของบัญชีสำรองพิเศษต้องลดน้อยถอยลงไปทุกที เนื่องจากต้องถูกตัดไปชดเชยสินทรัพย์ในบัญชีทุนสำรองเงินตราให้เต็มมูลค่าธนบัตรออกใช้ หลักการเดิม    การตีราคาสินทรัพย์แบบเดิม หากขาดทุนจากการตีราคา จะนำกำไรสุทธิในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีไปชดเชยทั้งบัญชีทุนสำรองเงินตรา และชดเชยบัญชีสำรองพิเศษ ซึ่งจะทำให้บัญชีทั้งสองมีมูลค่าเต็มเสมอ แต่ในการบันทึกบัญชีแบบใหม่ จะชดเชยเฉพาะบัญชีทุนสำรองเงินตราเท่านั้น ส่วนบัญชีสำรองพิเศษจะมีมูลค่าลดน้อยถอยลงไปทุกที ซึ่งแม้เป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีก็ไม่เป็นการสมควร หากคิดว่าเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีก็ไม่ควรจะชดเชยบัญชีทุนสำรองเงินตราด้วย และไม่ต้องนำไปจ่ายหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ด้วยเพราะเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น๔. ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยในการบริหารจัดการสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตรา โดยขยายขอบเขตการทำธุรกรรมผลกระทบ       เป็นการทำลายหลักการและเจตนารมณ์เดิมของบรรพบุรุษอย่างสิ้นเชิง โดยมุ่งหน้าเอาสินทรัพย์ในคลังหลวงไปเสาะแสวงหาวิธีการลงทุนประเภทต่างๆ เพื่อการเก็งกำไร ที่สำคัญเป็นการเปลี่ยนสถานะจาก ผู้ดูแลรักษา กลายเป็น ผู้บริหารจัดการ สินทรัพย์ในคลังหลวงได้ ประหนึ่งว่าเป็น เจ้าของ คลังหลวงเสียเอง กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า เป็นการแสดงเจตนาเพื่อจะ ปล้น เอากรรมสิทธิ์ในคลังหลวงของประชาชนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากเข้าไปจัดการคลังหลวงได้เสมือนเป็นทรัพย์สินของตนเองหลักการเดิม    ดำรงสินทรัพย์ในคลังหลวงไว้เพื่อความเพิ่มพูน มั่นคงและปลอดภัยเป็นสาระสำคัญที่สุด โดยธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเพียงผู้ดูแลรักษาคลังหลวงเท่านั้น เจตนารมณ์บรรพบุรุษมิได้ให้อำนาจในฐานะ เจ้าของทรัพย์ดังนั้น กฎหมายจึงจำกัดขอบเขตไว้เพียงเพื่อดำรงความมั่นคง มิใช่เพื่อการนำไปหากำไร ซึ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น๕. ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจมอบหมายให้สถาบันการเงินต่างชาติบริหารจัดการแทนได้ผลกระทบ  เป็นการสะท้อนความคิดว่า เห็นคลังหลวงเป็นเพียงสินทรัพย์ที่มีค่าเพียงแค่วัตถุนิยมหรือทุนนิยมเท่านั้น  ขาดจิตสำนึกของความเป็นไทย ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง สังคม ศาสนา ตลอดจน ขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดมาช้านาน ควรจะรักษาคลังหลวงให้เป็นมรดกตกทอดp33.6.jpg ให้ลูกหลานได้ภาคภูมิใจถึงความสามารถของคนไทยในการดูแลรักษาสมบัติก้อนสุดท้ายของชาติ โดยมิต้องอาศัยต่างชาติ
หลักการเดิม    พยายามเก็บหอมรอมริบสินทรัพย์ในคลังหลวงให้เพิ่มพูน แน่นหนามั่นคง ดำรงรักษาไว้ด้วยความสุขุมรอบคอบปลอดภัย ไม่มองคลังหลวงเป็นเพียงทรัพย์เพื่อการลงทุนเก็งกำไรหรือแสวงหาผลประโยชน์ด้านมูลค่าเท่านั้น แต่มองรอบด้านอย่างครบองค์ประกอบของความเป็นชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไทย จึงไม่ต้องว่าจ้างองค์กรใดเพราะเจตนารมณ์มิใช่เพื่อการเก็งกำไร๖. ยกเลิกการให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยโอนสินทรัพย์จากบัญชีสำรองพิเศษเข้าเป็นสินทรัพย์ในบัญชีทุนสำรองเงินตรา เพื่อหนุนหลังธนบัตรออกใช้ หมายเหตุ  มีเพียงข้อนี้เท่านั้นที่สมควรได้รับการแก้ไขเพราะสอดคล้องกับหลักการเดิมที่เคยปฏิบัติมา           จากสาระสำคัญทั้ง ๖ ประเด็นข้างต้น จะเห็นได้ว่า กฎหมายฉบับปัจจุบันที่มีผลบังคับใช้อยู่นั้นสอดคล้องกับหลักการและเจตนารมณ์เดิมของบรรพบุรุษ มิได้เป็นไปเพื่อการเก็งกำไร หรือนำสินทรัพย์ในคลังหลวงไปลงทุนหรือใช้จ่ายให้ผิดจากหลักการเก็บรักษาเพื่อความมั่นคง ให้เป็นหลักประกันเป็นที่เชื่อมั่นได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การแปรเปลี่ยนหลักการให้ผิดไปจากเดิมทำให้เกิดความเสี่ยง ไม่เป็นที่ยอมรับได้ว่ามั่นคงปลอดภัย อาจนำมาซึ่งความวิบัติล้มละลายทางการเงินของชาติได้ในที่สุดp33.7.jpg