คลังหลวงของปวงชน

4334861low.jpg“คลังหลวงของปวงชน”  บรรยายโดย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (๕ ส.ค. ๔๕)

“คลังหลวงของปวงชน”  

 บรรยายโดย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (๕ ส.ค. ๔๕) ในช่วงตั้งแต่ปลายปี ๒๕๓๙ ถึงกลางปี ๒๕๔๐ ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามที่จะรักษาค่าเงินบาทให้สูงอยู่ในระดับที่๑ ดอลลาร์เท่ากับ ๒๕ บาท โดยการนำเงินดอลลาร์สหรัฐออกขายในตลาด การนำเงินดอลลาร์สหรัฐออกขายในตลาดนี้ ทำได้เฉพาะโดยการนำเงินจากฝ่ายกิจการธนาคารเท่านั้น ไม่สามารถนำเงินออกจากฝ่ายออกบัตรหรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “คลังหลวง” ได้ เพราะมีกฎหมายห้ามไว้


          จึงมีผลให้เงินในบัญชีของฝ่ายออกบัตรหรือคลังหลวงนั้น ยังคงเหลืออยู่สูงถึง ๑๙,๘๐๐ ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๔๐ ในขณะที่เงินในบัญชีของฝ่ายกิจการธนาคารนั้น มีการนำเงินดอลลาร์ออกขายจนหมด และยังมีการทำสวอป  นำเงินดาลลาร์มาขายเพิ่มเติมอีก โดยมีสิ่งที่เรียกว่า “สัญญาซื้อขายล่วงหน้า” เป็นภาระติดค้าที่จะนำส่งคืนเขา ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๐ นั้น ปรากฏว่าฝ่ายกิจการธนาคารมีเงินดอลลาร์เหลือ ๑๑,๘๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ขณะเดียวกันก็มีภาระที่เรียกว่า “สัญญาล่วงหน้า” ที่ต้องส่งคืนในอนาคตสูงถึง ๒๙,๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แปลว่า อะไร แปลว่า บัญชีของฝ่ายกิจการธนาคาร ณ วันนั้นเนื่องจากการพยายามนำดอลลาร์ออกขายรักษาค่าเงินบาทนั้น มีฐานะติดลบสุทธิถึง ๑๗,๗๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

         โดยสรุป ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๔๐ ก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ๑ วัน เงินสำรองสุทธิที่มีเหลืออยู่ ๒,๘๐๐ ล้านดอลลาร์นั้น ประกอบด้วยเงินดอลลาร์ในคลังหลวง ๑๙,๘๐๐ ล้านดอลลาร์  เป็นบวกนะครับอันนี้ ในบัญชีทุนรักษาระดับ ๗๐๐ ล้านดอลลาร์ ในขณะที่บัญชีของฝ่ายการธนาคารมีฐานะสุทธิติดลบ ๑๗,๗๐๐ ล้านดอลลาร์ จะเห็นได้ว่า ผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่สามารถนำเงินดอลลาร์จากคลังหลวงออกมาขายได้เลย เนื่องจากมีกฎหมายห้ามไว้ หาไม่แล้วเงินในคลังหลวงคงจะถูกนำไปขายแทนการทำสวอปในจำนวนที่สูงมากทีเดียว

         ครั้งต่อมาระยะเวลา ๕ ปีที่ผ่านมา จากต้นกรกฎาคม ๔๐ ถึงปลายมิถุนายน ๔๕ นี้ ประเทศไทยได้ทำมาค้าขายสินค้าและบริการ ก็ได้เงินเข้าประเทศมา เมื่อหักเงินที่ชำระหนี้ต่างประเทศแล้ว  ก็สามารถนำเข้าบัญชีของฝ่ายการธนาคาร ทำให้ในวันสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๔๕ ฝ่ายการธนาคารซึ่งเดิมกลับมีฐานะสุทธิลบ ๑๗,๗๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลับมีเงินดอลลาร์สูงถึง ๘,๐๙๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ

          ส่วนเงินดอลลาร์ในบัญชีฝ่ายออกบัตรหรือคลังหลวงนั้น ก็ได้เพิ่มพูนขึ้นจาก ๑๙,๘๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปลายมิถุนายน ๒๕๔๐ ณ ขณะนี้เพิ่มเป็น ๒๗,๔๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว เมื่อปลายมิถุนายน ๒๕๔๕ โดย
            • ได้มาจากดอกผลของเงินที่มีอยู่เดิม
            • ได้มาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเติมให้ เมื่อต้องการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเติมขึ้น
            • และจากเงินบริจาคของหลวงตา (โครงการช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)


ทุนสำรองระหว่างประเทศสุทธิ (โดยประมาณ) หน่วย : ล้านเหรียญสหรัฐ

                          ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๐    ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๕

บัญชีฝ่ายออกบัตร              ๑๙,๘๐๐               ๒๗,๔๐๐
บัญชีฝ่ายการธนาคาร  
SPOT                           ๑๑,๘๐๐                ๘,๐๙๐
FORWARD                    ๒๙,๕๐๐                 -๘๘๐
ทุนรักษาระดับ                       ๗๐๐                   ๙๑๐
รวม                               ๒,๘๐๐              ๓๕,๕๒๐


          เงินบริจาคของหลวงตา แม้ว่าจะเป็นจำนวนที่ไม่มากเมื่อเทียบกับเงินในคลังหลวงที่มีอยู่เดิม แต่มีบทบาทสำคัญที่ป้องกันมิให้มีการนำเงินในคลังหลวงออกไปใช้ จนอาจเกิดอันตรายขั้นหายนะแก่ประเทศชาติได้ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ

          ถ้าใครจำได้ เมื่อกลางปี ๒๕๔๓ ก็มีการกล่าวขานว่า อาจจะมีการชำระหนี้ให้ไอเม็มเอฟ ก่อนกำหนด ในขณะนั้นเงินในฝ่ายกิจการธนาคารไม่พอ จึงมีความคิดจะนำเงินฝ่ายออกบัตร ไปรวมกับฝ่ายกิจการธนาคาร จะได้มีพอที่จะไปชำระหนี้ให้ไอเอ็มเอฟ ก่อนกำหนด ซึ่งถ้าหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นแล้ว เป็นไปได้ว่า เงินสำรองระหว่างประเทศในขณะนั้น จะลดต่ำลงมาก จนทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นได้ และถ้าขาดความเชื่อมั่นแล้ว อาจทำให้มีเงินไหลออกมากอีกครั้งหนึ่ง ผมใช้คำว่า อาจจะนะครับ แต่จำนวนที่จะชำระนั้นก็มีจำนวนสูง ถ้าปล่อยให้นำเงินในคลังหลวงไปชำระหนี้ให้ไอเอ็มเอฟ ก่อนกำหนดล่ะก็ ส่วนที่เหลือจะมีน้อยมาก ทำให้ขาดความเชื่อมั่นได้

          การที่หลวงตาท่านออกมาขัดขวางการรวมบัญชี ก็เท่ากับว่าเป็นการป้องกันไม่ให้มีการนำเงินจากคลังหลวงไปใช้เพื่อการอื่น นอกจากการสำรองเพื่อผลิตธนบัตร จึงทำให้เงินในคลังหลวงยังคงมีเหลืออยู่เต็มที่ และพอกพูนขึ้นตามจำนวนที่กล่าวถึงข้างต้น คือมีอยู่ถึง ๒๗,๔๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว เป็นหลักฐานของความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจของประเทศ แล้วสร้างความเชื่อมั่นในสายตาของต่างประเทศทั่วโลก ส่วนการชำระหนี้ให้ไอเอ็มเอฟนั้น เราก็ไม่ได้ละเลย ก็มีการชำระหนี้ให้ไอเอ็มเอฟ ตรงตามเวลา โดยอาศัยเงินที่ค่อยๆ หาได้จากการขายสินค้าและบริการตามปกติ ไม่มีการชักออกมาจากคลังหลวง เพื่อการนี้แต่ประการใด

          ท่านอาจารย์มหาบัวหรือที่เรียกว่า หลวงตามหาบัวนั้น ท่านก็ยังเชิญชวนพี่น้องมอบเงินและมอบทองคำเพิ่มเติม เพื่อสมทบคลังหลวงอีกนั้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยินดีจะรับตลอดเวลาครับ เพื่อสมทบคลังหลวงอีกนั้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยินดีจะรับอยู่ตลอดเวลาครับ ขอบคุณครับ

ผู้ว่าแบงก์ชาติ : “...ตอนนี้สถานการณ์เราดีมาก คือ วิธีที่ฝรั่งเขาดูว่า เมืองไทยมั่นคงหรือไม่ เขาดูสำรองในกระเป๋าเรา มีเท่าไหร่ เทียบกับหนี้ส่วนที่ต้องชำระในปีหน้าเท่าไหร่ แล้วดูว่ามีกี่เท่า ถ้ารวมบัญชี เขา (รัฐบาลชุดก่อน) จะเอาไปชำระไอเอ็มเอฟทั้งก้อน ทุนสำรองจะลดพรวดไปเลย นี่ที่ผมกลัวมาก...”
หลวงตา : “...หัวใจของชาติตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ชาติไทยอยู่ได้ เพราะอันนี้(คลังหลวง) ฉะนั้น อย่าแตะ! หลอกตาคนต่างหากว่า “รวมบัญชี” เมื่อรวมแล้ว  หมด เพราะงั้นถึงได้เอากันอย่างแรง...”