๓ เริ่มใช้ เงินกระดาษ |
ก่อนที่จะมีการนำธนบัตรเข้ามาใช้ร่วมกับเงินตราชนิดอื่นๆ ในระบบการเงินของประเทศนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า เงินตราของชนชาติไทยมีรูปพรรณสัณฐานหลากหลาย มีเอกลักษณ์และประวัติความเป็นมาน่าสนใจ สำหรับเงินตราโบราณที่ขุดพบในบริเวณอันเป็นที่ตั้งของประเทศไทย ได้แก่ เงินตราของอาณาจักรฟูนัน ทวารวดี และศรีวิชัย ซึ่งถือได้ว่าเป็นเงินตราก่อนการตั้งอาณาจักรไทย ส่วนเงินตราของอาณาจักรล้านนา และล้านช้าง เป็นเงินตราร่วมสมัยกับอาณาจักรไทย จากลวดลายที่ปรากฏแสดงให้เห็นว่ามีชุมชนซึ่งได้รับอารยธรรมอินเดียอาศัยอยู่ในบริเวณนี้มานานกว่าพันปีแล้ว ครั้นถึงสมัยสุโขทัยได้มีการผลิต “เงินพดด้วง” ขึ้นใช้เป็นครั้งแรก เป็นการผลิตด้วยมือ ทำจากแท่งเงินบริสุทธิ์ มีลักษณะไม่ซ้ำแบบใคร นับเป็นเงินตราของไทยโดยแท้ และใช้หมุนเวียนยาวนานกว่า ๖๐๐ ปี ตั้งแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา จนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในสมัยสุโขทัยเงินพดด้วงมีการประทับตรามากกว่า ๒ ดวง จวบจนสมัยอยุธยาจึงเป็นรูปแบบเดียวกัน คือ มีตราแผ่นดินรูปจักร และ ตราประจำรัชกาลประทับไว้เป็นสำคัญ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๙๔ -๒๔๑๑) เงินพดด้วงก็ต้องเลิกผลิตไป เพราะหลังจากไทยได้เปิดประตูการค้ากับประเทศตะวันตก นับตั้งแต่ได้มีการลงนามใน สนธิสัญญาบาวริง กับประเทศอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๘ พระองค์ทรงเห็นความจำเป็นที่ไทยต้องจำยอมทำสนธิสัญญาตามข้อเสนอของอังกฤษ แม้ว่าไทยต้องเสียเปรียบอย่างมากก็ตาม เพราะเกรงว่าไทยอาจถูกอังกฤษบีบบังคับด้วยกำลังกองทัพและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย แล้วหาเหตุยึดไทยเป็นอาณานิคมในที่สุดดังประเทศข้างเคียงอื่นๆ กำลังเผชิญอยู่ในขณะนั้น ดังพระราชดำรัสว่า
”พระราชดำรัสดังกล่าวนี้จึงนำไปสู่การเจรจาทางการทูตกับอังกฤษ และทรงยอมทำสนธิสัญญาแบบเดียวกันกับประเทศตะวันตกอื่นๆ เกือบ ๑๐ ประเทศ เพื่อมิให้ประเทศตะวันตกประเทศใดประเทศหนึ่งเข้ามามีอำนาจและอิทธิพลอย่างโดดเด่นเพียงประเทศเดียวในไทย และในระหว่างการดำเนินนโยบายดังกล่าว พระองค์ก็ทรงให้ปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยตามแบบตะวันตก เพื่อประเทศมหาอำนาจตะวันตกจะไม่ใช้เป็นข้ออ้างว่าไทยมีความป่าเถื่อนไร้อารยธรรม ซึ่งจะเป็นหน้าที่หรือ “ภารกิจของคนผิวขาว” ที่ต้องมาเปลี่ยนแปลงให้ไทยมีความก้าวหน้าทันสมัยตามอารยธรรมตะวันตก ดังที่มักใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเข้ายึดครองประเทศต่างๆ ในเอเชียและแอฟริกาเป็นอาณานิคม ผลของสนธิสัญญาเหล่านี้เป็นการเปิดโอกาสให้มีการค้าโดยตรงระหว่างพ่อค้าชาวต่างประเทศกับพลเมืองในประเทศโดยเสรี มีผลให้ไทยต้องยกเลิกการค้าแบบผูกขาดโดยระบบพระคลังสินค้าอย่างเด็ดขาด ล้มเลิกการเก็บภาษีเบิกร่องหรือค่าปากเรือ มีการจัดตั้ง ศุลกสถาน หรือ โรงภาษี จัดเก็บภาษีขาเข้าในอัตรา "ร้อยชักสาม" และภาษีขาออกตามที่ระบุไว้ในท้ายสัญญา ระบบการศุลกากรแบบใหม่ก็นำมาใช้นับแต่ครั้งนั้น การค้าขายระหว่างไทยกับต่างประเทศเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว พ่อค้าชาวต่างชาติได้นำเงินเหรียญดอลล่าร์เม็กซิกันมาขอแลกเป็นเงินไทยมาก จนกระทั่งเงินบาทพดด้วงที่มีอยู่ไม่พอใช้หมุนเวียน การผลิตเงินพดด้วงด้วยมือไม่ทันต่อความต้องการ รัชกาลที่ ๔ ทรงมีพระราชดำริจะใช้เครื่องจักรผลิตเงินตราแทน เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและสะดวกในการค้า ต่อมา เมื่อระบบเศรษฐกิจของประเทศได้เปลี่ยนจากระบบการผลิตเพื่อใช้เองไปสู่ระบบการผลิตเพื่อการค้า บทบาทของเหรียญกษาปณ์ก็ค่อยลดความสำคัญลง และเริ่มนำ “เงินกระดาษ” ออกใช้ในระบบเงินตราของประเทศ โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้จัดทำ “หมาย” เป็นเงินกระดาษชนิดแรกขึ้นใช้แทนเงินพดด้วงในปี พ.ศ. ๒๓๙๖ ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาว พิมพ์ลวดลายทั้งสองด้าน ประทับตราแผ่นดินและตราประจำรัชกาล จัดทำขึ้นมี ๓ ประเภท คือ หมายราคาต่ำ หมายราคาตำลึง หมายราคาสูง สำหรับเงินกระดาษอีกชนิดหนึ่งที่จัดทำในสมัยพระองค์ เรียกว่า “ใบพระราชทานเงินตรา” มีหลายชนิดราคา ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาว พิมพ์เพียงด้านเดียว การใช้จะอยู่ในวงจำกัดกว่าหมาย อย่างไรก็ตาม โดยเหตุที่หมายและใบพระราชทานเงินตราเป็นเงินชนิดใหม่ ในขณะที่ประชาชนมีความคุ้นเคยกับเงินพดด้วงมาแต่สมัยโบราณ การใช้เงินกระดาษจึงยังไม่เป็นที่แพร่หลายตามพระราชประสงค์ และค่อยๆ หายไปจากระบบการเงินของประเทศในแผ่นดินของพระองค์ในที่สุด เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) เกิดปัญหาขาดแคลนเหรียญดีบุกและทองแดง เนื่องจากแร่ดีบุกและทองแดงมีราคาสูงขึ้นมากกว่าราคาที่ตราไว้บนหน้าเหรียญ จึงมีผู้หวังกำไรพากันหลอมเหรียญดีบุกและทองแดงทำเป็นแท่งส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาชั่วคราวระหว่างสั่งซื้อเครื่องจักรทำเหรียญกษาปณ์จากต่างประเทศ จึงจัดทำเงินกระดาษราคาต่ำ เรียกว่า อัฐกระดาษ ออกใช้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๗ แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกับหมาย เนื่องจากเปื่อยยุ่ยง่าย และมีวัตถุประสงค์เพื่อออกใช้เป็นการชั่วคราว จึงได้ยกเลิกไปโดยปริยายในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ จะเห็นว่าเมื่อแนวความคิด “เงินกระดาษ” ได้เริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ และได้รับการสานต่อสมัยรัชกาลที่ ๕ ระยะแรกๆ แต่ยังไม่เป็นผล แนวคิดเช่นนี้ทำให้ลักษณะของ “ทุนสำรองในคลังหลวง” ก็เริ่มมีวัตถุประสงค์ที่กว้างออกไปจากเดิมเป็นการเก็บรักษาไว้ในยามจำเป็นเท่านั้น เมื่อมีเงินกระดาษเกิดขึ้นก็มีความจำเป็นต้องจัดเก็บเงินตราในท้องพระคลังเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อให้เพียงพอกับการแลกเปลี่ยนเงินกระดาษของราษฎร และด้วย เหตุนี้การเก็บรักษาทุนสำรองในคลังหลวงจึงเริ่มมีความหมายกว้างขึ้นโดยที่ไม่ทิ้งหลักการเดิมที่เก็บรักษาทุนสำรองไว้เพื่อความไม่ประมาท |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|