๕ ๔๘ ชั่วโมง ขีดเส้นตาย..สยาม |
ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเผชิญกับวิกฤตการณ์ภายนอก นับเป็นวิกฤตการณ์ที่หนักที่สุด คือ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ (ร.ศ. ๑๑๒) กรุงเทพมหานครถูกยึดครองด้วยกองเรือรบติดอาวุธของฝรั่งเศส อย่างหมดหนทางต้านทานจากฝ่ายไทย ชาวบ้านร้านตลาดพากันอพยพหนีภัยกันอลหม่านด้วยความแตกตื่นตกใจ แม้แต่พระองค์ยังทรงเสียพระราชหฤทัยจนประชวรหนัก และหยุดเสวยพระโอสถ ทรงสิ้นหวังรันทดท้อ ขนาดมีพระราชนิพนธ์โคลงฉันท์ “ส่งไปลา” เจ้านายพี่น้องบางพระองค์อย่างหมดอาลัยในพระชนม์ชีพ ไม่มีพระราชประสงค์ดำรงอยู่อีกต่อไป ทรงอดสูพระทัยที่ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่เลวร้ายให้ดีขึ้นได้ ระหว่างการระดมพลเพื่อปกป้องพระนครไว้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนถึงกำหนดเส้นตาย พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินลงมาแล้วยกพระหัตถ์วางบนบ่าท่านแม่ทัพ พร้อมกับมีพระราชดำรัสอย่างหวั่นพระทัยว่า “ในวันนี้แหละไม่เราก็เขาแล้ว” เส้นตายนั้นคือการตอบรับอย่างไม่มีเงื่อนไขใน ๔๘ ชั่วโมงตามข้อเรียกร้องอันไม่เป็นธรรมของฝรั่งเศส ในคำขาดนี้มีคำข่มขู่อันแข็งกร้าวปราศจากข้อต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น ให้ทรงตัดสินพระทัย ชนิดที่ไม่มีทางเลือก โดยให้มอบผืนแผ่นดินของเมืองประเทศราชบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง พร้อมด้วยเงินค่าไถ่เป็นค่าปรับไหมที่ฝ่ายไทยถูกกล่าวหาว่าก่อขึ้นก่อนโดยการเปิดฉากยิงเรือฝรั่งเศส คิดเป็นเงินสดจำนวนทั้งสิ้นรวม ๕,๐๐๐,๐๐๐ ฟรังก์ และให้วางในทันทีก่อน ๑๘.๐๐ น. ของเย็นวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ มิฉะนั้นกระสุนจากปืนใหญ่บนเรือรบ ๓ ลำ ที่ทันสมัยที่สุดจะบุกเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา และจะสั่งให้ระดมยิงเข้าไปในพระที่นั่งจักรีอย่างไม่ปรานีอีกต่อไป ในวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ศกนั้น ม. ปาวี ทูตฝรั่งเศส ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลฝรั่งเศส ได้ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลไทย ๖ ข้อ โดยให้ตอบภายใน ๔๘ ชั่วโมง ว่าจะปฏิบัติหรือไม่ ดังนี้ ๓. รัฐบาลไทยจะต้องทำความพอใจให้กับฝรั่งเศสกรณีทุ่งเชียงคำและคำ ม่วน (คดีพระยอด เมืองขวาง) ที่ทำให้มองสิเออร์โกรสกุแรงตาย และกรณีที่ไทยโจมตีเรือรบฝรั่งเศสที่ปากน้ำ ๔. รัฐบาลไทยต้องลงโทษเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยที่ทำผิดตามข้อ ๓ และจ่ายเงินให้กับครอบครัวของผู้เสียหายในข้อ ๓
[1] อัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น ๑ ฟรังก์ เท่ากับ ๐.๕๑๖ บาท เหตุวิกฤตการณ์ครั้งนั้น สยามประเทศแทบจะสูญสิ้นความเป็นเอกราชทีเดียว เนื่องจากขณะนั้นฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจและประสงค์จะยึดครองไทยเป็นอาณานิคม เหมือนดังที่ยึดครองดินแดนประเทศต่างๆ ในอินโดจีนไว้หมดแล้ว สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ซึ่งยึดมั่นอยู่กับความหวังสุดท้าย ว่าอังกฤษจะไม่ทอดทิ้งมิตรประเทศเช่นไทย ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะขัดขืนฝรั่งเศสและข้อเรียกร้องต่างๆ พระองค์ทรงคาดหวังและรอคอยความช่วยเหลือนาทีสุดท้ายจากอังกฤษ เพื่อเข้ามาช่วยคลี่คลายวิกฤตการณ์ ความเฉยเมยของอังกฤษ และต่อมาเป็นคำปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่จะไม่ยอมเข้าแทรกแซงในความขัดแย้งระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ทำให้พระองค์ทรงผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่ฝรั่งเศสเสนอเงื่อนไขทั้งหมดมา พระองค์และบรรดาที่ปรึกษาก็ถูกโจมตีด้วยบัตรสนเท่ห์หลายร้อยฉบับ กล่าวหาว่าขลาดกลัว ไร้กำลังที่จะปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง ในบรรยากาศและความรู้สึกที่ถูกอังกฤษทอดทิ้งนี่เอง ที่กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีว่าการต่างประเทศของพระองค์ ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องลงพระนามในสนธิสัญญาสงบศึก การลงนามครั้งนี้ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างพระองค์ กับกรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในวงข้าราชการชั้นสูงว่า ทรงลงพระนามไปโดยมิได้รับพระราชานุมัติ และขัดต่อพระราชประสงค์ของพระองค์ เมื่อกรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ ทรงถูกทัดทานจากที่ประชุมเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ อีกทั้งทรงสูญเสียความไว้วางพระทัยของพระเจ้าอยู่หัว กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ ก็ทรงยอมรับว่าได้ทรงกระทำการนอกพระบรมราชโองการ และมิได้ทรงรับพระราชานุมัติอย่างชัดเจนให้ลงพระนาม ในสภาพดังกล่าวพระองค์จึงขอกราบบังคมทูลขอลาออกจากตำแหน่ง ทว่าพระเจ้าอยู่หัวก็ยังคงให้พระองค์ทรงรั้งตำแหน่งหน้าที่เดิมอยู่ต่อไป ระหว่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเสนาบดีว่าการต่างประเทศกับนายโรแลง ชาเกอแมง นักกฎหมายชาวเบลเยียมที่ประเทศอังกฤษแนะนำให้มาเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ก็ตึงเครียดขึ้น ฝ่ายกรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงชาเกอแมง ตำหนิว่า “ฉันรู้ตัวชัดอยู่ว่า ถ้าความเปนเอกราชของกรุงสยามได้สุดสิ้นไปเมื่อใด ชีวิตรฉันก็คงจะสุดสิ้นไปเมื่อนั้น” ครั้งนั้นราชสำนักกรุงเทพฯ ตกอยู่ในสภาพวุ่นวายและสับสนอลหม่าน บรรดาผู้ที่กำกับดูแลราชการงานเมืองต่างก็พากันท้อแท้สิ้นหวัง เมื่อมองเห็นการคุกคามอันหนักหน่วงต่อเอกราชและความเป็นปึกแผ่นของไทยปรากฏอยู่เบื้องหน้า ราชสำนักเกิดความแตกแยกกันอย่างมาก ในระหว่างที่รอคำตอบทางราชสำนักสยามอยู่นั้น มีเรือรบฝรั่งเศสคุมเชิงอยู่ที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส ริมท่าน้ำสี่พระยาถึง ๓ ลำ คือ รอการมาสมทบของกองเรือรบชุดใหม่ที่ถูกเรียกเข้ามาหนุนอีก ๙ ลำ ซึ่งทำให้ภายในอีก ๒-๓ วันข้างหน้าอ่าวไทยจะกลายเป็นฐานทัพเรือเล็กๆ ของฝรั่งเศส นอกดินแดนฝรั่งเศส และเต็มไปด้วยความได้เปรียบของฝ่ายศัตรูเมื่อกำหนดเส้นตายมาถึง ทางฝ่ายไทยยังคงแบ่งรับแบ่งสู้เกี่ยวกับเรื่องดินแดน ส่วนเรื่องเงินค่าไถ่ก้อนแรก ๒,๐๐๐,๐๐๐ ฟรังก์นั้น ทรงแจ้งให้ทราบว่าจะไม่เน้นเรื่องหลักการและจะจ่ายให้ แต่ในประเด็นของเงินก้อนที่สองที่ระบุว่าเป็นเงินมัดจำอีก ๓,๐๐๐,๐๐๐ ฟรังก์นั้น ทรงรับที่จะวางเป็นเงินเพียสต์แทน เนื่องจากเพียสต์เป็นเงินสกุลที่ใช้อยู่ในเขตอินโดจีน และพระองค์ก็ทรงหวังว่าจะได้เงินก้อนหลังคืนมาอย่างไม่มีการบิดพลิ้ว กล่าวคือไม่ทรงแน่พระทัยว่าฝรั่งเศสจะคืนให้ และทรงเห็นว่าเป็นการฉกฉวยโอกาสมากกว่า แต่ม.ปาวีไม่ยอมรับในเงื่อนไขนี้ และยังแสดงความไม่พอใจ หาว่าฝ่ายไทยมากเรื่อง จึงหาเรื่องประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย และเตรียมตัวปิดสถานทูตทันทีในวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ครั้งนั้นม.ปาวีซึ่งถือว่าตนมีอำนาจต่อรองมากกว่า จึงเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปสมทบกับกองเรือรบฝรั่งเศส ที่ลอยลำอยู่เต็มไปหมดบริเวณน่านน้ำเกาะสีชังเพื่อประกาศปิดล้อมอ่าวไทยเป็นการตอบโต้
นายเฮนรี นอร์แมน อดีตกงสุลอังกฤษประจำสยาม ซึ่งนอกจากจะไม่มีบทบาทเข้ามาช่วยเหลือไทยในเวลานั้น ยังซ้ำเติมโดยการเรียกประวัติศาสตร์ไทยในยุคนั้น (ร.ศ. ๑๑๒) ว่า “เป็นการล่มสลายของคนไทย ในเวลานั้นพระมหากษัตริย์อีกทั้งเหล่าเสนาบดีทั้งหลายดูจะเป็นอัมพาตกันไปหมด พวกเขาไม่หวังอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะจากการปฏิรูป หรือการพัฒนาในภายภาคหน้า ความแข็งแกร่งสูญสลายไปจนสิ้น หมดความสามารถที่จะป้องกันตัว” สัญญาสงบศึกระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ (ร. ศ. ๑๑๒) ๑. รัฐบาลไทยยอมสละกรรมสิทธิ์ทั้งสิ้น ที่มีอยู่เหนือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงตลอดจนเกาะทั้งหลายในแม่น้ำนั้น แต่ปรากฏว่าฝ่ายฝรั่งเศสได้ถอนทหารไปจากจังหวัดจันทบุรี แล้วไปยึดจังหวัดตราดแทน เพื่อเรียกร้องต่อไปอีก การไปยึดจังหวัดตราดนั้นก็ไม่ผิดอะไรกับการยึดจังหวัดจันทบุรีด้วย เพราะเกาะทั้งหลายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดยังคงอยู่ในความยึดครองของฝรั่งเศสด้วย และเพื่อให้ฝรั่งเศสไปจากจังหวัดตราดทำให้ไทยต้องเสียพระตะบอง เสียมราฐและศรีโสภณอีก เป็นอันว่านับแต่เกิดการรบที่ปากน้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ (ร.ศ. ๑๑๒) จนถึง วันที่ ๖ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๕๑ ซึ่งเป็นวันที่ฝรั่งเศสถอนทหารออกไปจากจังหวัดตราด นับเป็นเวลาถึง ๑๔ ปี ที่ไทยเราได้ตกอยู่ในฐานะถูกบีบบังคับจากฝ่ายฝรั่งเศสเรื่อยมา และต้องเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสมากมายเพื่อรักษาไว้ ซึ่งสิทธิในความเป็นเอกราชของเราต่อไป |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|