๗ ชาติตะวันตกเข้ายึดครองเพื่อนบ้านสยาม |
ในช่วง พ.ศ. ๒๓๔๓-๒๔๔๒ หรือประมาณกลางรัชสมัยของรัชกาลที่ ๑ ถึงกลางรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นยุคสมัยของลัทธิจักรวรรดินิยม อันเป็นจุดสูงสุดของพัฒนาการของระบบทุนนิยมที่ชาติตะวันตกแผ่ขยายไปทั่วโลก ทำให้ดินแดนเกือบทั้งหมดในเอเชีย อัฟริกา ฯลฯ ตกเป็นเมืองขึ้น หรืออาณานิคมของยุโรปตะวันตกกับอเมริกาเหนือ สำหรับมูลเหตุจูงใจให้ชาติตะวันตกเข้ามาในประเทศไทยและดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พอสรุปได้ดังนี้ ๑. ผลประโยชน์ทางการค้า ต้องการแสวงหาผลผลิตทางเศรษฐกิจในดินแดนแถบนี้ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยเครื่องเทศ อันเป็นสินค้าที่ยุโรปต้องการ จึงต้องการสำรวจแหล่งวัตถุดิบ และเข้ามาควบคุมศูนย์กลางการค้า การแลกเปลี่ยนสินค้า ๓.ความต้องการเผยแพร่อุดมการณ์ทางศาสนาและการเมือง โดยเชื่อมั่นว่า ระบบการเมืองเศรษฐกิจและสังคมของตะวันตกเป็นหลักการที่ดี จึงถือเอาเป็นเหตุว่า เป็นพันธะของคนผิวขาวที่จะเป็นผู้นำความเจริญมาสู่คนพื้นเมือง จึงส่งผู้แทนหรือมิชชันนารีเข้ามาทำการเผยแพร่ศาสนาหรืออุดมการณ์ทางการเมืองในภูมิภาคนี้ จากปัจจัยดังกล่าว ประกอบกับการผลิตอาวุธร้ายสมัยใหม่และการจัดการกองทัพที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการที่เอเชียและอัฟริกายังไม่มีการรวมเป็น “ชาติ” ยังแบ่งแยกกันอยู่ในลักษณะของชนเผ่าหรืออาณาจักรแบบโบราณ และการที่ประชากรส่วนใหญ่ไร้การศึกษาไม่รู้หนังสือ อ่านเขียนไม่ได้ จึงเป็นปัจจัยของความสำเร็จในการล่าอาณานิคมในที่สุด อังกฤษยึดครองดินแดนตะวันตกสยาม เกี่ยวกับการครอบครองพม่าของอังกฤษ อาจกล่าวได้ว่าเนื่องจากพม่าอยู่ใกล้ผลประโยชน์และอิทธิพลของอังกฤษในอินเดียมากเกินไป ประจวบกับพม่าไม่สามารถหาประเทศมหาอำนาจมาคานอำนาจอังกฤษได้ อีกทั้งกษัตริย์พม่ามีลักษณะแข็งแกร่งและไม่อะลุ่มอล่วยต่ออังกฤษ จึงตกเป็นอาณานิคมหนึ่งของอังกฤษในที่สุดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๘ โดยอังกฤษได้สานรวมอาณาจักรพม่าเข้าเป็นหนึ่งในมณฑลของอินเดีย ซ้ำร้ายพม่ายังถูกล้างราชวงศ์สถาบันกษัตริย์เสียสิ้นโดยพระเจ้าธีบอเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายและถูกนำไปกักขังที่เมืองมุมไบ(บอมเบย์) จนสิ้นพระชนม์ กระทั่งในปี พ.ศ. ๒๓๖๑ อังกฤษต้องการหาเมืองท่าสถานีการค้าแห่งใหม่อีกแห่ง และก็พบเกาะสิงหปุระหรือเมืองเทมาเซก ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า สิงคโปร์ มีลักษณะที่เหมาะสมอย่างยิ่ง อังกฤษจึงขอให้สุลต่านในครั้งนั้นยอมเปิดดินแดนแห่งนี้ให้เป็นเมืองท่าของอังกฤษในปี พ.ศ. ๒๓๖๒ โดยยื่นเงื่อนไขในลักษณะขอเช่าที่ดินจากสุลต่านในราคาถูกและจ่ายเป็นรายปี การที่อังกฤษสามารถควบคุมเมืองท่าสำคัญทั้งทางตอนเหนือและตอนใต้ของมลายูได้เช่นนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการแผ่อำนาจครอบคลุมดินแดนปลายแหลมมลายู การที่รัฐต่างๆ ในดินแดนแถบมลายูมักขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์ที่ได้จากการค้าทรัพยากรต่างๆ ให้กับอังกฤษอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะการแย่งชิงประโยชน์ในเปรัคซึ่งเป็นรัฐที่อุดมไปด้วยแหล่งแร่ดีบุกจนเกิดเป็นสงครามระหว่างรัฐขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งอังกฤษเข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยปัญหาความขัดแย้งนี้ แล้วกำหนดข้อตกลงขึ้นฉบับหนึ่ง คือ ข้อตกลงปังกอร์ ในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ แต่แล้วกลับกลายเป็นข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ต่ออังกฤษมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนในเปรัคเป็นอย่างมาก จนเกิดเป็นการต่อต้านอำนาจกดขี่ของชาวอังกฤษกระจายตัวมากขึ้นทุกขณะ ฝรั่งเศสยึดครองดินแดนตะวันออกสยาม vความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับฝรั่งเศสเริ่มต้นตึงเครียดขึ้นเมื่อกษัตริย์เวียดนามเห็นว่าฝรั่งเศสกดดันเวียดนามเกินไป ราวกับเวียดนามเป็นเมืองขึ้น และจุดปะทุของสงครามระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้นเมื่อเวียดนามเริ่มต้นแผนต่อต้านฝรั่งเศส ด้วยการไม่ยอมให้ประชาชนหันไปนับถือศาสนาคริสต์ที่นักบวชฝรั่งเศสนำเข้ามาเผยแพร่ จนถึงกับสั่งขับไล่นักบวชเหล่านั้นออกไปจากเวียดนามให้หมด และยังสั่งประหารประชาชนที่ลักลอบติดต่อกับ v นักบวชคริสต์ไปถึง ๑๐๐ คน ฝรั่งเศสจึงถือเอาเหตุนี้ ส่งเรือรบเข้าปิดล้อมอ่าวเมืองดานังในปี พ.ศ. ๒๔๐๑ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้เข้ายึดครองเวียดนามนับแต่ปีนั้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๐๕ ฝรั่งเศสได้บังคับให้เวียดนามลงนามในสนธิสัญญา ทำให้ฝรั่งเศสได้ดินแดนเวียดนามใต้ไปครอง กระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๓๐ ฝรั่งเศสก็สามารถยึดครองดินแดนเวียดนามไว้ได้ทั้งหมด เหตุการณ์ระยะนั้นตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ในสยาม ปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ ฝรั่งเศสก็สามารถสร้าง “จักรวรรดิ” ของตนในอินโดจีนได้สำเร็จ กลายเป็นอาณานิคมขนาดใหญ่ และตั้ง “ข้าหลวงใหญ่” ขึ้น โดยมีสำนักงานอยู่ที่ฮานอย เป็นการปกครองเวียดนามใต้ในฐานะอาณานิคมโดยตรง ส่วนเวียดนามเหนือและกลาง กัมพูชา และลาวนั้น เป็นการปกครองโดยอ้อม โดยที่ยังรักษาสถาบันการปกครองบางประการไว้ เช่น ระบบจักรพรรดิที่กรุงเว้ สถาบันกษัตริย์ที่พนมเปญ เจ้ามหาชีวิตที่หลวงพระบาง และเจ้าแห่งจำปาศักดิ์ ซึ่งต่างกับอังกฤษที่ล้มเลิกสถาบันกษัตริย์ของพม่าโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม การที่ “ข้าหลวงใหญ่” มีอำนาจเต็มที่และรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางทั้งด้านการบริหารและการคลัง ณ กรุงฮานอย อีกทั้งฝรั่งเศสยังพยายามผนวกและกลืนชนชั้นสูงของดินแดนอาณานิมคมเหล่านี้ให้เข้าวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของตนจนเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ผลที่ตามมาก็คือมาตรฐานการครองชีพของประชากรในเมืองขึ้นเหล่านี้ตกต่ำและเสื่อมโทรมลงมากเนื่องจากฝรั่งเศสมีแต่มุ่งกอบโกยเอาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และวัตถุดิบต่างๆ จากดินแดนแถบนี้ การยึดครองของชาติตะวันตกอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศฟิลิปปินส์ก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากการขยายอำนาจและถูกยึดครองจากชาติตะวันตกซึ่งก็คือประเทศสเปน โดยอาศัยจุดอ่อนเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ในลักษณะที่เป็นชาวเกาะและการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์กันกระจัดกระจาย ไม่มีความชัดเจนในการมีรัฐบาลกลางที่เป็นศูนย์อำนาจอย่างเช่นในดินแดนแห่งอื่นๆ จึงง่ายต่อการที่สเปนซึ่งมีขีดความสามารถทางกำลังทหารที่สูงกว่าจะเข้ามาโดยใช้วิธีพยายามเข้ายึดครองอย่างต่อเนื่อง สเปนต้องส่งกองทหารเข้าทำการรบกับชาวพื้นเมืองที่ต่อต้านอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๑๐๘ สเปนก็สามารถมีชัย แล้วเข้าก่อตั้งฐานแห่งแรก ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๑๑๓ ก็เข้ายึดครองเมืองท่าของชาวพื้นเมืองแล้วก่อตั้งเป็นสถานีการค้าของตนขึ้นที่มะนิลา และเข้ายึดครองเมืองสำคัญๆ บนหมู่เกาะละแวกใกล้เคียงต่างๆ ซึ่งเท่ากับสเปนสามารถยึดครองฟิลิปปินส์ได้แล้ว ตลอดจนการนับถือศาสนาของชาวพื้นเมืองก็ยังถูกครอบงำด้วยเช่นกัน โดยสเปนบีบบังคับให้ยอมเข้ารีตรับศาสนาคริสต์ ชาติตะวันตกอีกชาติหนึ่งที่ได้เข้ามาครอบครองฟิลิปปินส์ในระยะต่อมา และไม่นานนักก็กลายเป็นชาติมหาอำนาจของโลก นั่นคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มเข้ามาค้าขายในโลกตะวันออกกับประเทศญี่ปุ่นก่อนในปี พ.ศ. ๒๓๙๗ การเข้ามานี้เป็นการตัดหน้าเซอร์จอห์นบาวริงของอังกฤษ เนื่องจากอังกฤษเองก็มีความพยายามจะเข้าไปเจรจาในญี่ปุ่นเช่นกันและในระยะนั้นสหรัฐอเมริกายังได้ส่งคณะผู้แทนเข้ามาเจรจาในสยามเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๙ อีกด้วย ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยสหรัฐฯ ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และกราบทูลถึงจุดประสงค์ที่เข้ามาว่า Ø อินโดนีเซีย สำหรับประเทศไทยเมื่อถึงวาระต้องเผชิญหน้ากับกลอุบายของฝรั่งเศสที่จะเข้ามายึดครองประเทศ และความไม่จริงใจของอังกฤษที่น่าจะมีส่วนเข้ามาช่วยเหลือไทยบ้างในยามวิกฤตหัวเลี้ยวหัวต่อจนเกือบจะสูญสิ้นอธิปไตยไป แต่ด้วยความไม่ประมาทของบูรพกษัตริย์ที่ทรงเก็บรักษา “เงินถุงแดง” เป็นทุนสำรองในคลังหลวงไว้ไม่เอาไปใช้จ่ายอย่างอื่นโดยไม่จำเป็นจึงสามารถแก้ปัญหาวิกฤตของชาติในครั้งนั้นเอาไว้ได้
หากไม่มี “เงินถุงแดง” ของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ หากไม่มีการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔
|
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|