๑๓ ตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ย้าย กองเงินตรา เป็น ฝ่ายออกบัตร |
สาระสำคัญของ พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๘๕ และ พระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๘๕ นั้น กำหนดให้จัดตั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นองค์กรอิสระ ทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการของธนาคารกลาง โดยรับมอบกิจการของสำนักงานธนาคารชาติไทยมาดำเนินการทั้งหมด พร้อมทั้งรับมอบงานที่เกี่ยวข้องกับธนบัตร ซึ่งเดิมเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังด้วย โดยรัฐอุดหนุนเป็นทุนประเดิมให้จำนวน ๒๐ ล้านบาท และเริ่มประกอบธุรกิจได้ตั้งแต่วันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นต้นไป กำหนดให้มี ๒ ฝ่ายหลัก ดังนี้ 1. ฝ่ายออกบัตรธนาคาร ทำหน้าที่ในกิจการเกี่ยวกับธนบัตร โดยรับมอบงานจาก “กองเงินตรา กรมคลัง กระทรวงการคลัง” พร้อมรับมอบ “ทุนสำรอง” ที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ มาเป็น “ทุนสำรองเงินตรา” ในฝ่ายออกบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งทุนสำรองที่ ๒ ฝ่ายการธนาคาร ๒. ทุนสำรองฝ่ายการธนาคาร เป็นทุนสำรองกองที่ ๒ ที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นใหม่พร้อมธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อทำหน้าที่รองรับงานของธนาคารกลางโดยเฉพาะ จึงมิให้นำมาปะปนกับ “ทุนสำรองเดิม” เพราะมีหลักการและเจตนารมณ์ที่ต่างกัน
ภาพแสดงว่า “ทุนสำรองฝ่ายออกบัตร” ทุนสำรองเดิมนั้นมีหลักการ เจตนารมณ์ การก่อตั้ง ความเป็นมา การเก็บรักษา ตลอดจนมีกฏเกณฑ์ข้อปฏิบัติตามหลักโบราณราชประเพณีของพระมหากษัตริย์ที่ยาวนาน และเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย กฎหมายก็ยังรักษาหลักการและเจตนารมณ์เดิมอย่างเคร่งครัดโดยแยกทุนสำรองนี้ไว้มิให้ปะปนกับทรัพย์กองอื่นและจำกัดธนาคารแห่งประเทศไทยให้มีสถานะเพียงผู้ดูแลรักษาเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้ทุนสำรองเดิมนี้มีความมั่นคงปลอดภัยเป็นสำคัญ ในขณะที่ทุนสำรองฝ่ายการธนาคารมุ่งหมายเพื่องานธนาคารกลางเพียงอย่างเดียว ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมีอำนาจบริหารจัดการได้เต็มที่ การก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นนี้ หากรัฐบาลมิได้รีบเร่งดำเนินการจัดตั้งให้เสร็จทันการ นโยบายการเงินและการเครดิตของไทยก็อาจต้องเป็นไปตามนโยบายของชนต่างชาติ ซึ่งย่อมจะต้องมีผลร้ายแรงอย่างแน่นอน สำหรับการดำเนินงานเริ่มแรกนั้น พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยพระองค์แรก และถึงแม้จะดำเนินการก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อรักษาอิสรภาพทางการเงินของประเทศให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้ในด้านหนึ่งแล้ว ผลกระทบอีกด้านหนึ่งของสงครามมหาเอเชียบูรพา ยังส่งผลให้การสั่งพิมพ์ธนบัตรจาก บริษัท Thomas De ในช่วงนี้การจัดพิมพ์ข้อความในธนบัตรจำเป็นต้องแก้ไขอย่างกะทันหัน โดยจำเป็นต้องใช้ภาษาไทยที่สะกดตัวอักษรแบบใหม่แตกต่างไปจากรากศัพท์ภาษาไทยที่ถูกต้อง เช่น รัถบาลไทย ธนบัตรเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกดหมาย รัถมนตรีว่าการกะซวงการคลัง เป็นต้น ที่ต้องเขียนเช่นนี้เนื่องจาก ทางญี่ปุ่นแจ้งให้ทางนายกรัฐมนตรีทราบว่า ภาษาไทยเรียนยากเพราะมีพยัญชนะและสระมากมายเหลือเกิน จึงเห็นว่าควรใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาราชการแทน นายกรัฐมนตรีได้หาทางออกโดยการตอบเลี่ยงไปว่า ไทยเรามีหนังสือเป็น ๒ ชุด ชุดหนึ่งใช้ในราชการ ซึ่งเรียนยากหน่อย ส่วนชุดที่เรียนง่ายมีอีกชุดหนึ่งสำหรับสามัญชนทั่วไป ญี่ปุ่นต้องการที่ง่าย ซึ่งความจริงขณะนั้นมีเพียงชุดเดียว
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงต้องรีบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในเรื่องนี้เป็นการด่วน โดยประกาศใช้เป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ให้งดใช้สระ ๕ ตัว และงดใช้พยัญชนะ ๑๓ ตัว อย่างไรก็ตาม มีการใช้อยู่เพียงสองปีเศษ ก็ยกเลิกกลับไปใช้การเขียนภาษาไทยอย่างเดิม |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|