๑๙ วิกฤตเศรษฐกิจ ทุนสำรอง ๒ โอ่งย่อยยับ |
“...เวลานี้คนกำลังวิ่งตามไอ้หลังลาย มันกำลังจะตายรู้ไหมล่ะ ไอ้หลังลายก็ธนบัตรนั่นแหละจะเป็นอะไร ท่านมีมาไว้สำหรับความจำเป็นในการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันธรรมดา ท่านไม่ได้มีมาไว้ให้คนเป็นบ้าวิ่งตามไอ้หลังลายนะ ไอ้หลังลายก็ประสากระดาษจะมีอะไร มาสมมุติขึ้นใช้ธรรมดา แต่นี้มันไม่ได้เพียงเท่านี้มันดีดมันดิ้นเลยไอ้หลังลายไป ไอ้หลังลายเป็นเจ้าอำนาจใหญ่โตละทุกวันนี้ บีบบี้สีไฟโลกให้ดีดให้ดิ้นไปทั่วหน้ากันหมด “ความพอดี” ๗ ก.ค. ๒๕๓๘
[1]วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทยเกิดจากการพัฒนาอย่างรวดเร็ว “แบบก้าวกระโดด” ขณะที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศยังไม่เข้มแข็ง จุดตั้งต้นของวิกฤตครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยเริ่มตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๓๓ เมื่อได้มีการตัดสินใจจะพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาค และมีความชัดเจนขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ เมื่อได้เริ่มดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางการเงิน ในขณะที่ยังคงรักษาช่วง (band) อัตราการแลกเปลี่ยนที่แคบมากไว้ (ประมาณ ๒๕ บาท เท่ากับ ๑ เหรียญสหรัฐ) แทนที่จะเลือกใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นมากกว่านี้ ทำให้หลายฝ่ายมองว่า เป็นความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายทางการเงินครั้งสำคัญ และกลายเป็นระเบิดเวลาที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๔๐
ในขณะนั้นสถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ก็มีปัญหาขาดสภาพคล่องในการไถ่ถอนเงินฝากของประชาชน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(กองทุนฟื้นฟูฯ)ให้การสนับสนุนสภาพคล่องด้วยการให้กู้ยืมตามความต้องการทุกกรณี แต่ได้กำหนดให้ผู้กู้ยืม(คือสถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์) นำเอาสินทรัพย์ ๒ เท่ามาเป็นหลักประกัน อย่างไรก็ตามแม้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจะพยายามเร่งแก้ปัญหาดังกล่าวแต่เนื่องจากมีการวิเคราะห์และมีข่าวลือต่างๆ สะพัดออกมามากมาย กลายเป็นการเร่งให้ประชาชนเกิดความไม่เชื่อมั่นและพากันระดมถอนเงินฝากมากขึ้นไปอีก ตกเป็นภาระของกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งทวีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะต่อมา
ในด้านทุนสำรองระหว่างประเทศ จากการโจมตีค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่องของกองทุนเก็งกำไรตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๕๓๙ จนกระทั่งเข้าสู่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ลอยตัวค่าเงินหรือทำให้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนยืดหยุ่นขึ้นทำให้ต้องสูญเสียทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ และรุนแรงมากที่สุดในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้แก้ไขปัญหาการโจมตีค่าเงินบาทโดยการทุ่มเททุนสำรองระหว่างประเทศเป็นมูลค่ามหาศาลเข้ามาพยุงหรือปกป้องค่าเงินบาทอย่างขาดความรอบคอบ ส่งผลให้สูญเสียทุนสำรองระหว่างประเทศจากเดิมที่เคยมีถึงประมาณ ๓๙,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ ในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เหลือ ๒๖,๖๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ (เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๐) และลดลงเหลือ ๒,๘๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ (เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๐) ประเทศไทยจึงต้องประสบกับภาวะล้มละลายทางการเงินจนต้องยอม “ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ จนกระทั่งในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ นับจากต้นปีได้เพียง ๗ เดือนเศษ ทุนสำรองระหว่างประเทศสุทธิก็ได้ลดลงเหลือเพียง ๑๕๘ ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น
[1] ภาระผูกพันล่วงหน้า (คือการทำธุรกรรม swap 12.05 พันล้านเหรียญฯ) ไม่ส่งผลกระทบทุนสำรองเงินตรา(โอ่งคลังหลวง) เนื่องจากพ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 ห้ามนำทุนสำรองเงินตราไปใช้เพื่อการอื่นนอกจากเป็นทุนหนุนหลังการออกธนบัตร โอ่งคลังหลวงจึงยังมั่นคงปลอดภัยและมีบทบาทสูงสุดในขณะนั้นในการพยุงค่าเงินบาทไว้มิให้พังพินาศไปยิ่งกว่านี้
ดังนั้น รัฐบาลจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือทางการเงินและวิชาการจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) โดยกู้ในวงเงิน ๑๔,๒๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อนำเงินที่กู้ไปทดแทนทุนสำรองซึ่งร่อยหรอลงจากภาวะวิกฤต โดยรัฐบาลมิได้นำเงินกู้นี้ไปใช้จ่ายแต่อย่างใด ทั้งนี้รัฐบาลได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ขอความช่วยเหลือจาก IMF เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๐ ทำให้รัฐบาลต้องผูกพันเงื่อนไขกับ IMF ไว้หลายประการ โดยถือเป็นการผูกพันต่อภาครัฐด้วย ทำให้รัฐบาลต้องมีวาระการพิจารณาร่างหนังสือแสดงเจตจำนงก่อนลงนามผูกพันโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ คณะรัฐมนตรียังมีมติแต่งตั้งรองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นประธานคณะกรรมการกำกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจตามเงื่อนไขของ IMF ดังนี้ “ให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามเงื่อนไขเวลาและเป้าหมายที่ได้ตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศต่อไป”
จากปัญหาในด้านทุนสำรองระหว่างประเทศ ปัญหาในด้านภาวะอัตราดอกเบี้ยสูง ปัญหาในด้านสภาพคล่องและการประกอบธุรกรรมทางด้านการเงิน ปัญหาวงจรธุรกิจที่ได้เคยมีกับลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการได้ขาดสะบั้นลง ปัญหาค่าเงินบาทที่ได้ลดลงทำให้ภาระหนี้สินที่เป็นเงินตราต่างประเทศสูงขึ้น และปัญหาความไม่สามารถอำนวยสภาพคล่องของระบบสถาบันการเงินเป็นการทั่วไป ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ย่อมจะกระทบต่อฐานะและการดำเนินงานของภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ทั้งในด้านการเงิน การผลิต การตลาด และการจ้างงาน รวมทั้งความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งในท้ายที่สุดจะมีผลในด้านคุณภาพของลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ทำให้ความมั่นคงของระบบการเงินไทยทรุดลงอีก เพราะปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือหนี้เสียจะเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สถาบันการเงินไทยซึ่งเพิ่งผ่านวิกฤตปัญหาความไม่มั่นใจของประชาชนผู้ออม เกิดปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงในด้านหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย ในด้านภาคประชาชน สำหรับประชาชนผู้ออมซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศมากนัก ก็ได้มีพฤติกรรมในการลดการจับจ่ายใช้สอยลง สำหรับภาคประชาชนที่อยู่ในตลาดแรงงานซึ่งรวมถึงทั้งระดับบริหารและลูกจ้าง ทั้งในภาคเอกชนและลูกจ้างราชการ ก็มีความพะวงต่อสถานภาพในการจ้างงาน นำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยที่ลดลง สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งมีฐานะยากจนและเป็นลูกจ้างรายวันก็มีปัญหาจากการถูกให้ออกจากงานและการลดลงของรายได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นที่ชัดเจนว่าการอุปโภคบริโภคในระบบเศรษฐกิจมหภาคก็จะลดลงไปด้วยอย่างมาก จะคงเหลือเพียงแต่ในด้านภาคการเกษตรที่ยังพอได้รับประโยชน์บ้างจากการขายผลิตผลทางการเกษตรที่มีมูลค่าเป็นเงินบาทมากขึ้น จึงทำให้ภาคเกษตรสามารถรองรับสภาพการณ์พ้นจากงานโดยทั่วไปได้ในระดับหนึ่ง กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จัดตั้งขึ้นตามพระราชกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2528 โดยมีเจตนารมณ์เพื่อดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือในทางการเงินเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ให้มีความมั่นคงและเสถียรภาพ โดยเฉพาะเมื่อมีวิกฤตการณ์ร้ายแรงเกิดขื้นในระบบสถาบันการเงิน ภายใต้กรอบนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาล รวมถึงการให้ประกันความเสียหาย และการให้ความช่วยเหลือทางการเงินตามสมควรแก่กรณีสำหรับผู้ฝากเงินของสถาบันการเงิน เนื่องจากสถาบันการเงินประสบวิกฤตการณ์ทางการเงินอย่างร้ายแรง การบริหารจัดการทรัพย์สิน หนี้สินและพันธบัตรกองทุน การกำกับดูแลการจัดการด้านนโยบายบริหารสินทรัพย์ และสถาบันการเงินที่กองทุนเป็นผู้ถือหุ้น ตลอดจนดำเนินการเพื่อเรียกเก็บหนี้ บังคับชำระหนี้และหลักประกันในส่วนที่บุคคลภายนอกเป็นหนี้กองทุน ศึกษาและเตรียมการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก กองทุนมีฐานะทั้งเป็นส่วนหนึ่งและเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในส่วนของการบริหารงานกองทุนเป็นฝ่ายหนึ่งของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยสายจัดการกองทุนและหนี้ทำหน้าที่ในการบริหารภายใต้กรอบของคณะกรรมการจัดการกองทุน มีการจัดทำบัญชีและงบประมาณเป็นของกองทุนเอง และมีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจบัญชี โดยได้รายงานผลการสอบบัญชีนั้นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและแจ้งธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อทราบ
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้มิได้เป็นปรากฏการณ์แต่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ยังได้ลุกลามไปอีกหลายประเทศในทวีปนี้ ทำให้เกิดเป็นวิกฤตภูมิภาคเอเชีย และได้ส่งผลต่อกำลังซื้อและความมั่นใจของผู้ประกอบการทั้งจากภายในและภายนอกประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ผลของวิกฤตยังกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยความรุนแรงที่สุดจะอยู่ในประเทศแถบเอเชีย ผลของเหตุการณ์ส่งผลร้ายต่อการล้มละลายของภาคการเงินและตลาดทุนของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นในเอเชีย อเมริกาใต้ ยุโรปตะวันออก รวมทั้งประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา และยุโรป ต่างก็ประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย สำหรับประเทศที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ได้แก่ อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ รวมถึงไทยก็จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF หลังจากที่ประเทศไทยได้เข้ารับความช่วยเหลือจาก IMF ไปได้ระยะหนึ่งก็ได้ถูกวิจารณ์อย่างแพร่หลายว่า ประเทศไทยประสบกับความตกต่ำอย่างรุนแรงเกินความจำเป็น เพราะนโยบายของ IMF ดังกล่าวนอกจากจะไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นได้แล้วกลับเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้หนักขึ้น และเกิดความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจอย่างมาก อย่างไรก็ตาม วิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. ๒๕๔๐ นั้นได้ถูกบ่มเพาะมาก่อนหน้านั้นเป็นเวลาหลายปีแล้ว การชี้นำให้หลงเดินทางผิดของ IMF จึงไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะการที่คนไทยใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย หลงในอำนาจเงิน อำนาจทุน ฟุ้งเฟ้อ สุรุ่ยสุร่าย เปรียบได้กับแมลงเม่าที่หลงแสงไฟย่อมยินดีที่จะบินเข้าหาภัย ซึ่งในข้อนี้ก็เป็นต้นเหตุวิกฤตการณ์ของชาติด้วยเช่นกัน
|
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|