ลืมรหัสผ่าน?
  • Narrow screen resolution
  • Wide screen resolution
  • Auto width resolution
  • Increase font size
  • Decrease font size
  • Default font size
  • default color
  • red color
  • green color
Home arrow คลังหลวงแห่งประเทศไทย ตอนที่ 2 arrow ๒๑ โครงการช่วยชาติ เพิ่มพูนโอ่งคลังหลวง
๒๑ โครงการช่วยชาติ เพิ่มพูนโอ่งคลังหลวง PDF พิมพ์ อีเมล์

p21.11.jpg

p21.1.jpg

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ผลของวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ.  ๒๕๔๐ ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยประสบภาวะขาดทุนจากการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ธนาคารและสถาบันการเงินถูกสั่งปิด หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ตลอดจนประชาชนต่างประสบภาวะหนี้สินพะรุงพะรัง แม้แต่โรงพยาบาลต่างๆ ก็ถูกตัดงบประมาณจากรัฐ ข่าวฆ่าตัวตายเกิดขึ้นรายวันเพราะกิจการล้มละลาย ไม่มีเงินใช้หนี้ โรงงานและกิจการห้างร้านทยอยปิดตัวไป ตึกแถวอาคารพาณิชย์มีแต่ความรกร้างว่างเปล่าไม่มีผู้อยู่อาศัย โครงการก่อสร้างถนนหนทางกลายเป็นเศษอิฐเศษปูน ผู้คนต่างพากันตกงาน บัณฑิตจบการศึกษาก็ไม่มีงานทำ ทั่วทุกหัวระแหงจึงมีแต่ภาพแห่งความสลดหดหู่ใจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ความลำบากยากแค้นดังกล่าวนี้หมุนเข้ามาใกล้ชิดติดพันกับการสงเคราะห์ประจำวันของหลวงตา ถึงกับทำให้ท่านกล่าวว่า
เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๔๑ พระเณรภายในวัดป่าบ้านตาดถวายการนวดและประคบยาหลวงตาซึ่งอาพาธจากอุบัติเหตุรถยนต์จนกระดูกต้นแขนขวาแตก
          ...ทางโรงพยาบาลละเป็นที่หนึ่งที่ไปช่วยเต็มกำลังความสามารถ ปีนี้ยิ่งเป็นปีที่หนักเป็นกรณีพิเศษอีก คือโรงพยาบาลต่างๆ วิ่งมาขอเงินไปใช้หนี้ ว่างบประมาณไม่มี ... ทางรัฐบาลสั่งมาให้ซื้อของในวงเงินเท่านั้นๆ แล้วจะส่งเงินมา ทีนี้p21.2.jpgรัฐบาลไม่ได้ส่งมาให้ เลยติดหนี้เขา วิ่งเข้ามาหาวัด เราช่วยแทบเป็นแทบตาย ช่วยเป็นล้านๆ แต่ละโรงๆ ติดหนี้เขา แล้วจะทำยังไง มีเท่าไรก็ทุ่มกันลง บางทีถึงกับบอกว่าจ่ายไม่หมดนะ ให้จ่ายเป็นงวดๆ งวดที่สองที่สามมีมาแล้วค่อยจ่ายอีก เราว่าอย่างนั้น คือมันไม่ไหว มันมากจริงๆ ปีนี้เป็นอย่างนั้น          ทุกปีมีแต่มาขอเครื่องมือ เราก็ช่วยเครื่องมืออะไรต่ออะไร ปีนี้กลับมาขอใช้หนี้แล้วมันเป็นยังไงรัฐบาลเราจะไม่จมแล้วเหรอ ปกครองบ้านเมืองกันยังไงถึงจะปล่อยให้บ้านเมืองจม แม้แต่โรงพยาบาลซึ่งเป็นหัวใจของชาติจริงๆ ก็ยังจะล้มไปนี้ จะทำยังไงกัน... นิมิตหลวงตา..รู้ทัน สัญญา IMFภาวะแห่งความทุกข์ระทมเช่นนี้ สำหรับพระภิกษุผู้ประจักษ์แจ้งในกฎไตรลักษณ์เช่นหลวงตาแล้วย่อมเห็นเป็นปกติธรรมดาของโลกและสรรพสัตว์ที่ล้วนต้องประสบกับความทุกข์ ความไม่เที่ยง และความไม่มีตัวตนพอจะยึดถือเป็นสาระแก่นสารได้ ในยามที่ชาติไทยต้องประสบกับทุกข์เช่นนี้ หลวงตาย่อมพิจารณาเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดาและไม่น่าจะมีสิ่งใดเข้ามากระทบต่อความรู้สึกของหลวงตาได้เหนือความคาดหมายของเหล่าศิษยานุศิษย์ทั่วทั้งประเทศ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมของหลวงตา ความรุนแรงของเหตุการณ์ในครั้งนี้กลับทำให้ท่านเกิดความรู้สึกสลดสังเวชมิใช่เพียงแต่ภาพที่เห็นภายนอกเท่านั้น ภาพแห่งความทุกข์และหนทางเยียวยาแก้ไขได้p21.3.jpgประจักษ์อยู่ภายในใจจากการอบรมจิตตภาวนามาอย่างช่ำชอง ถึงกับทำให้หลวงตามิอาจนิ่งดูดายต่อวิกฤตการณ์ในครั้งนี้และเริ่มแนะแนวทางเข้าช่วยเหลือ ดังคำเทศนาเมื่อเช้าวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ว่า...เราพูดจริงๆ จะขายโง่ขายความฉลาดขายเลวขายดีก็แล้วแต่เถอะ ก็ภาวนาอยู่ธรรมดาทุกคืน เราภาวนาอยู่อย่างนั้น จากนั้นแผ่เมตตาจิตทั่วไปหมด เมื่อคืนนี้ ...  มันขึ้น ขึ้นอะไร ห่วงโลกห่วงสงสารแล้วก็ย่นเข้ามาๆ เข้ามาถึงจุดเมืองไทยเรา ทีนี้เกิดความสงสารขึ้นมา เกี่ยวกับเรื่องเมืองไทยเรานี้ติดหนี้ติดสินเมืองนอก ... ทำยังไงกัน ... เพื่อกู้ชาตินี่นะ          อย่างนี้ละความเมตตามันหากซอกแซกซิกแซ็กไป เมื่อคืนนี้โผล่ขึ้นมาจนได้ เราก็ไม่เคยเป็น เมื่อคืนนี้ออกพุ่งมาตรงนี้ ว่าจะแก้ตรงไหน แก้เราก็ต้องเอาเงินกับลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศไทยนี้มาให้เราเอง พูดง่ายๆ ไม่ใช่ให้ใครละ มาให้เราเอง ก็มีเท่านั้นละจะทำยังไง เราคิดอยากให้ทางรัฐบาลพินิจพิจารณาเรื่องเหล่านี้ จะพิจารณากันยังไง ... ตามธรรมดาอะไรที่รู้แล้ว ควรไม่ควรนี้ก็เก็บไว้ อันใดควรออกมากน้อย อันไหนไม่ควรก็เก็บไว้ในลิ้นชัก แต่อันนี้ไม่อยู่เสียแล้ว เตะลิ้นชักแตกกระจายเลย
หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ สถิติการฆ่าตัวตายของคนไทย เพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ โดยในปี  พ.ศ.๒๕๔๓ มีคนไทยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายถึง ๕,๒๐๐ คน เฉลี่ยวันละ ๑๔ คน
... นี่เป็นนิมิตเราเป็นจริงๆ เมื่อคืนนี้ จึงได้ออกพูด ก็เราทำของเราทุกคืน เราพูดจริงๆ จิตใจแผ่ทั่วแดนโลกธาตุมาว่าอะไรแคบๆ เท่านี้ ค่อยวนเข้ามาแคบเข้ามาๆ เข้ามาถึงเมืองไทย เมื่อคืนนี้ออกมาติดตรงนี้เสียแล้ว ทุกคืนไม่ติด ไม่ออกช่องนี้มันออกช่องอื่น แต่เมื่อคืนนี้ออกช่องเมืองไทย ช่องเมืองไทยติดหนี้เขา แล้วเมืองไทยเราคนไทยเป็นทุกข์กันมากมายก่ายกอง ฆ่าตัวตายก็มี โห ...           เมื่อพูดถึงจุดนี้แล้วให้พิจารณากัน ต่างคนก็ต่างเป็นไทยด้วยกันทำไมจะไม่มีน้ำใจ เราแน่ใจว่ามี หาได้คนละบาทก็เอา ขึ้นตั้งแต่บาทหนึ่งขึ้นไปถึงล้านถึงแสนถึงหมื่นถึงพันถึงร้อยถึงสิบช่างมัน ควรจะได้ยังไงเอา พรึบเลยเราคิดว่าจะได้นะ เพราะไม่มีอะไรเสียหายนี่ ประกาศน้ำใจเมืองไทยเราอีกด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เขาก็ติดหนี้เหมือนกันเมืองอื่นก็ดี แต่เขาไม่แสดงอาการอย่างนั้น เมืองไทยเราแสดงอาการอย่างนี้ขึ้นมาเพื่อกู้ชาติไทยเราให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย p21.4.jpgให้ผาสุกร่มเย็นทั่วหน้ากัน เสียหายตรงไหน พิจารณาแล้วไม่มีอะไรเสียหาย มีแต่ทางได้อย่างเดียว บริจาคทางอื่นยังบริจาคได้ ต่างคนต่างเป็นชาติไทยด้วยกันบริจาคเพื่อกันเองจะเป็นอะไรไป

          พากันจำเอานะลูกศิษย์ลูกหา วันนี้เพียงเผดียงเท่านั้น นี่พูดจริงๆ ออกมาจากหัวใจจริงๆ เป็นอย่างนั้นเมื่อคืนนี้ มาข้องตรงนี้ อ้าว ทำยังไงกัน เกี่ยวกับทางช่วยโลกเราก็ช่วยมาพอ ทางแผ่เมตตาจิตก็แผ่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วเมื่อคืนนี้มาข้องตรงนี้แก้ไม่ตก ถ้าไม่แก้กับลูกศิษย์ลูกหาทั่วเมืองไทยเรานี้แก้ไม่ตก ถ้าแก้อย่างนี้แล้วตกแน่ๆ

หนี้สินในเมืองไทยเราตกพรึบเลย ทำยังไง มันแน่นหัวอกเมื่อคืนนี้ อ้าว เอาแล้วทีนี้ มาติดตรงนี้ปึ๋งเลยเทียว ติดไม่ใช่ติดน้อยๆ ติดปึ๋งเลยเทียว ถ้าออกก็ออกแบบปึ๋งเลยเหมือนกันออกได้ไปติดหนี้เขาก็เมืองไทยเราเองเป็นคนไปติด เรียกว่าทำให้ล่มจม ฟื้นกลับคืนมาก็เป็นเมืองไทยคนไทยเราเองจะเป็นอะไรไป... p21.5.jpgนี่ละวิตกวิจารณ์ แต่เวลามาออกเมื่อคืนนี้ไม่ได้ออกจากการเป็นอารมณ์นะ ไม่ได้เอาอันนี้มาเป็นอารมณ์ พิจารณาตามธรรมดาๆ วนเข้ามาๆ แคบเข้ามาๆ ถึงเมืองไทย คราวนี้อันนี้ออกปึ๋งเสียแล้ว มาถึงเมืองไทยแต่ก่อนก็ธรรมดา เมื่อคืนนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้วใส่ปึ๋งเลย ... การติดหนี้เป็นทุกข์นะ ทุกข์ที่สุดเลย ในธรรมท่านก็บอก ความติดหนี้เป็นทุกข์ที่สุดในโลก ความไม่มีหนี้มีสินเป็นสุขมากในโลก  ท่านก็บอกไว้มีในธรรมในบาลี อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก ความติดหนี้เป็นทุกข์มากในโลก ความไม่มีหนี้มีสินเป็นสุขมากในโลก ท่านแสดงไว้...พระธรรมเทศนานี้จึงเป็นการประกาศเจตนาแห่งการกู้ชาติของหลวงตาเป็นครั้งแรก สร้างความฉงนแก่บรรดาศิษย์และประชาชนชาวไทยไม่น้อยทีเดียว และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนอกเหนือความรู้ของคนทั่วไปในเวลานั้น ก็คือ ก่อนที่หลวงตาจะเล่านิมิตนี้เพียง ๒ วัน คือ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมลงนามเซ็นสัญญากู้เงินจาก IMF โดยทำหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) เป็นครั้งที่ ๒ และได้ทำความตกลงในเงื่อนไขสำคัญระหว่างประเทศไทยกับ IMF ให้ต้องกระทำการตามสัญญาโดยที่มิได้นำมาเปิดเผยต่อรัฐสภาหรือสาธารณชนอย่างกว้างขวางเพื่อร่วมกันตัดสินใจแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ข้อสัญญาเหล่านั้นมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และมีผลผูกพันต่อสมบัติของชาติ และต่อคนไทยทุกคน ซึ่งกว่าจะรับรู้โดยทั่วกันก็ล่วงเลยมาหลายปี จนประเทศไทยก็แทบจะสูญสิ้นอธิปไตยและสูญเสียสมบัติของชาติไปมากมาย ทั้งยังทำให้มีภาระหนี้สินตามมาอีกจำนวนมาก ซึ่งในเวลานั้นแทบจะไม่มีผู้ใดทราบรายละเอียดของเงื่อนไขดังกล่าวเลย จะมีก็แต่เพียงรัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาศิษยานุศิษย์ของหลวงตาที่อยู่วงนอกยิ่งไม่มีทางจะล่วงรู้ได้ อย่างไรก็ตามมหันตภัยในสัญญาฉบับนี้ไม่อาจปิดบังความรู้ของหลวงตาไปได้ เนื่องจากมีเงื่อนไขตอนหนึ่งระบุว่า รัฐบาลต้องดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติเงินตราโดยอ้างว่าเพื่อให้การดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศไทยมีความทันสมัยขึ้น ซึ่งข้อตกลงกับ IMF ในเรื่องนี้ได้ปรากฏชัดเจนในอีก ๓ เดือนต่อมา เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำหนังสือที่ ธปท.ชบ.1259/2541 ลงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2541 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  ให้ใช้แนวทาง การรวมบัญชี ของฝ่ายการธนาคาร และ ฝ่ายออกบัตรเข้าด้วยกัน จนกลายมาเป็น ร่างกฎหมายรวมบัญชี[1] ในเวลาต่อมา การเล่านิมิตของหลวงตาที่ถูกจังหวะสอดคล้องกับวันทำสัญญาฉบับที่ ๒ กับ IMF พอดิบพอดีเช่นนี้ จึงเหมือนกับเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า  ณ จุดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของ กฎหมายมหาภัย ซึ่งจะทำชาติให้ล่มจมได้  และ ณ จุดเดียวกันนี้อีกเช่นกัน เป็นจุดเริ่มต้นของการประกาศเจตนารมณ์ที่จะออกกอบกู้ชาติของหลวงตาและยังยืนยันด้วยว่าจะสามารถนำพาชาติให้พ้นจากภัยได้  ด้วยความรู้จากจิตตภาวนาของหลวงตาในครั้งนี้จึงเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งสงครามเศรษฐกิจ          p21.6.jpgเมื่อดูจากภาวะจิตใจและความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนสภาพบ้านเมืองในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๐ กล่าวได้ว่า ชั่วพริบตาเดียวไม่ทันที่ชาวไทยจะตั้งตัวทัน ประเทศไทยก็ต้องประสบกับวิบากกรรมครั้งใหญ่แทบสูญสิ้น เอกราช หนี้สินล้นพ้นตัวหมดทางไป บรรยากาศในเวลานั้นดูมืดมิดปิดตาผู้คนพากันท้อแท้ประหนึ่งว่าชาติไทยเราจะไม่มีวันพ้นจากหล่มลึกได้อีกแล้ว เทศนาของหลวงตาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ได้กล่าวถึงชะตากรรมของชาติในคราวนี้ว่าเป็นผลมาจาก สงครามเศรษฐกิจดังนี้          ...นี่ละเขาเรียกสงครามเศรษฐกิจ สงครามเงียบ เป็นอย่างนี้ละ กินแบบเงียบๆ ไม่ได้มีกระโตกกระตากอะไรแหละ เงียบเลย เราได้วิตกอันนี้ละจึงได้ปรารภออกมา แล้วเพื่อนบ้านก็เป็นแล้วนี่ ให้เห็นแล้วนี่ ... เราพูดตรงๆ เลย ได้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้วถึงได้พูดออกมา ไม่ใช่พูดออกมาแบบด้นแบบเดาเกาหมัดอย่างนั้นนะ พูดออกมาด้วยการพิจารณาแล้ว และเรื่องก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ไม่ผิด มันน่าคิด แล้วเมืองไทยเราน่ะ แบบกลืนเลยไม่ต้องเคี้ยว แบบกลืนเลย มันน่าคิดมากนะ เวลานี้เพื่อนบ้านโดนแล้วนะ โดนอย่างที่ว่านี้ โดนอย่างกลืนเงียบเลย ยึดปุ๊บๆ เลย ... เงินตั้งเป็นแสนล้าน ฟังซิว่าแสนล้านกว่า ดอกเบี้ยออกเดือนหนึ่งเท่าไรแล้ว ตั้งแต่ค่าให้ดอกเบี้ยเขาก็จะไม่พอสำหรับประเทศไทยเรา ไหนจะมีปัญญาไปช่วยถึงแสนล้าน คิดดูซิ ถ้าทั้งประเทศเราไม่ช่วยกันแล้วไปไม่ไหวจริงๆ นะ


[1] จะได้กล่าวโดยละเอียดในบทที่  ๒๔-๒๗

 p21.7.jpg          ไม่มีความเสียหายอะไรเราพิจารณาแล้ว เรื่องความเสียหายกับประเทศชาตินี้ไม่มี มีแต่ทำประเทศชาติให้มีความแน่นหนามั่นคง ช่วยตัวเองได้ในกาลต่อไปเป็นลำดับตั้งแต่บัดนี้ต่อไป เนื่องจากที่พวกเราทั้งหลายต่างคนต่างช่วยเหลือกัน          ใครก็ตามจะอยู่ได้เพราะชาติ ถ้าชาติจมไปเสียแล้วไม่มีใครอยู่ได้ สูงขนาดไหนต่ำขนาดไหนจมไปด้วยกัน ถ้าชาติอยู่ไม่ได้แล้วอยู่ไม่ได้เมืองไทยเรา ... เพราะรากแก้วอยู่ที่นี่ ต้นลำอยู่ที่นี่ อยู่ที่ชาตินี่ เพราะฉะนั้นเราถึงวิตกวิจารณ์มากมันเกี่ยวกับชาติบ้านเมืองเรา ต้องรีบพิจารณา เวลากำลังเงียบๆ อยู่นี้ให้พิจารณา ครั้นเวลามามันมาเงียบนะ ไม่ได้มาแบบกระโตกกระตากอะไรนะ มาแบบเงียบ แล้วพูดอะไรไม่ได้ด้วย กลืนพร้อมไปด้วยไม่ต้องเคี้ยว นี่เขาเรียกสงครามเศรษฐกิจ สงครามเงียบ ...           สงครามนี้ไม่ดังนะ ปุ๊บ กลืนปุ๊บๆ เลย วิตกมากอยู่เรา ... ทราบข่าวว่าเขายึด นั่นเห็นไหมล่ะ ติดหนี้เขาไม่มีเงินให้เขา เขาเข้ายึดธนาคาร ยึดทั่วประเทศเลย นี่แบบกลืนเงียบกินเงียบ เขาเรียกสงครามเศรษฐกิจ กินแบบนี้ละ... เราจะยอมเป็น หนู อยู่ใต้อุ้งเล็บ เสือ หรือ?          การที่ประเทศชาติและประชาชนต้องประสบกับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ทำให้หลวงตาไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ด้วยเมตตาธรรม แม้จะชราภาพด้วยวัยขณะนั้นถึง ๘๔ ปีแล้ว ทั้งธาตุขันธ์ร่างกายยังมีโรคภัยเข้าเบียดเบียน ต้องถ่ายท้องถึงวันละ ๗-๘ ครั้งต่อเนื่องกันเป็นเวลาถึง ๘ เดือนเต็มอาการถ่ายท้องก็ยังไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด ระยะนั้นหลวงตาจึงดูซูบผอมหมดเรี่ยวแรง แม้จะเดินจากกุฏิไปศาลาเพียง ๓๐-๔๐ เมตรก็ยังโซเซแทบจะเดินไม่ไหว ถึงกับทำให้หลวงตาตกลงปลงใจแล้วว่า จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ทันเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๔๑ อย่างแน่นอน จากนั้นท่านได้สั่งให้พระทำ เมรุ แบบเรียบง่ายเพื่อไว้เตรียมเผาศพองค์ท่านเองp21.8.jpg            อุปสรรคกีดขวางทางกู้ชาติของหลวงตามิได้มีเพียงเท่านั้น ในวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ หลังฉันภัตตาหารเช้า หลวงตาได้เดินทางโดยรถตู้ไปแจกจ่ายข้าวสาร อาหารแห้ง และบริจาคเงินช่วยเหลือโรงพยาบาลในอำเภอ ใกล้เคียง ระหว่างทางได้ประสบอุบัติเหตุกะทันหันเป็นเหตุให้หลวงตาได้รับบาดเจ็บกระดูกแขนขวาแตก ต้องเยียวยาอยู่หลายเดือนกว่าจะหายเป็นปกติ ซึ่งในระยะนั้นคณะศิษย์กราบขอให้หลวงตา ยุติการช่วยชาติเพราะห่วงสุขภาพหลวงตา โดยเฉพาะเพิ่งประสบอุบัติเหตุมา แต่ด้วยความเมตตาต่อชาติบ้านเมืองมีน้ำหนักมากกว่า หลวงตาจึงยืนยันจะดำเนินต่อไปพร้อมให้เหตุผลว่า
ก่อนเปิดโครงการช่วยชาติ หลวงตาได้รับอุบัติเหตุรถคว่ำจนกระดูกแขนขวาแตก

 

...แม้หลวงตาจะประสบอุบัติเหตุ กระดูกแขนแตกพิกลพิการเช่นนี้ หลวงตายังไม่รู้สึกห่วงตัวเองยิ่งกว่าชาติไทยของเรา เราห่วงชาติไทยเราจริงๆ นะ ... เราติดหนี้เขาจนถึงขนาดที่ว่าเมืองไทยเราจะจม ในปี ๔๐ เป็นปีที่ร้อนมากที่สุดสำหรับเมืองไทยเรา ร้อนเข้าไปถึงศาสนา ร้อนเข้ามาหาหลวงตาถึงขนาดร้องโก้กเลย หลวงตาบวชมาก็ไม่เคยร้องโก้กแบบสะเทือนมากทั่วประเทศไทยนี้ มาคราวนี้ถึงกับร้องโก้กเชียว สิ่งที่จะร้องก็คือ           หนึ่ง เราติดหนี้เขาเวลานี้ เรียกว่าเราอยู่ใต้อุ้งเล็บเขา เขาจะกำเราเมื่อไรก็ได้ จ่ออยู่ฝั่งทะเลหลวงที่จะจม ... จนถึงขนาดได้พูดว่า นี่สงครามเศรษฐกิจ ให้ดูเอานะเวลานี้ ครอบเมืองไทยเรา พี่น้องชาวไทยเราเป็นยังไง อยู่ใต้อุ้งเล็บเขายังนอนหลับครอกๆ แครกๆ อยู่เหรอ นี้อันหนึ่ง
ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ หลวงตาอาพาธหนักจากโรคถ่ายท้อง และได้สั่งให้พระเณรทำเมรุเตรียมไว้
          สอง ดอลลาร์เขาดอลล์เดียวฟาดเงินไทยเราจากเดิม ๒๕ บาทเป็น ๕๖ บาท นี้อันหนึ่ง           สาม คนไทยเราคิดเฉลี่ยติดหนี้เขา ๖๒ ล้านคนนี้ติดหนี้เขาคนละ ๕ หมื่นบาท ๆ ฟังซิ

 p21.9.jpg

ให้ลูกศิษย์ไปค้นคว้าเอาต้นมูลต้นเหตุมาจากข้างในโน้น ให้เราดูเรื่องราวมันก่อนที่เราจะขึ้นเวทีช่วยพี่น้องทั้งหลายนะ อะไรที่เป็นความจำเป็นมากที่สุด ที่ล่อแหลมต่อความล่มจมของชาติไทยเรา ... ก็ได้ความว่าติดหนี้ไอเอ็มเอฟ โห ติดหนี้พวกนี้ไม่ใช่ของเล่น เรียกว่า หนูตัวหนึ่งอยู่ใต้อุ้งเล็บของเสือโคร่ง ใช่เล่นเมื่อไร ร้องโก้กเลยเทียวเรา          คนไทยเราเคยเป็นใหญ่เป็นโตเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองมาสักกี่ดึกดำบรรพ์แล้วนะ นานสักเท่าไรแล้วเมืองไทยเรานี่ จะมาถูกเขาฮุบเอาเป็นบ๋อยคนใช้กลางบ้านกลางเรือนเขานี่แหม พูดได้คำเดียวว่าแหม ออกอุทานว่างั้นเถอะ เพราะฉะนั้นจึงต้องรีบ ให้พากันตื่นเนื้อตื่นตัวเราทำเพื่อเมืองไทยเรา…”

วิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนควรได้เรียนรู้เพื่อให้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้นเหตุของปัญหา ผลที่ได้รับ และจดจำไว้เป็นบทเรียนให้การก้าวเดินต่อไป เป็นไปด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง ไม่ให้เกิดความผิดพลาด ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ขึ้นอีก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยทุกคนควรตระหนักถึงคุณค่าและบทบาทของทุนสำรองในคลังหลวงที่มีต่อการแก้ไขวิกฤตชาติ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของบูรพมหากษัตริย์ ที่ทรงมีสายพระเนตรกว้างไกล แบ่งสรรและรักษาทรัพย์ส่วนหนึ่งไว้เป็นหลักประกันความมั่นคงและปลอดภัยให้แก่ประเทศชาติ เฉกเช่นเดียวกันกับพระคุณขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่ได้ปลุกขวัญกำลังใจของคนไทย และร่วมสืบทอดเจตนารมณ์จากบรรพบุรุษในการระดมเงินบริจาคเพื่อเพิ่มทุนและปกป้องคลังหลวงไว้เท่าชีวิต ด้วยมุ่งหวังเพียงเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขอย่างสงบมั่นคงของสังคมไทย p21.10.jpg

 
< ก่อนหน้า   ถัดไป >

Website ที่เกี่ยวข้อง

 

ติดต่อ

www.luangta.com