๒๔ ความศักดิ์สิทธิ์แห่ง ?คลังหลวง? |
|
|
|
ในการแสดงพระธรรมเทศนาของ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน นับตั้งแต่ชาติไทยได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเป็นต้นมา แทบจะทุกครั้งของการแสดงธรรมจะต้องกล่าวถึง “คลังหลวง” ซึ่งมีชื่อเป็นทางการว่า “ทุนสำรองเงินตรา” หลวงตาพยายามเน้นย้ำพร่ำสอนบอกเตือนชาวไทยให้รู้ซึ้งถึงคุณค่าและรู้จักรักหวงแหน “คลังหลวง” ยิ่งชีวิต เมื่อได้ศึกษาย้อนหลังเกี่ยวกับความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ก็ยิ่งเข้าใจในคำสอนของหลวงตามากขึ้น และดูเหมือนว่าหลวงตาจะมองเห็นสายทางความเกี่ยวโยงกันอย่างลึกซึ้งกับสถาบันกษัตริย์ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นเจ้าของพระราชทรัพย์ในคลังหลวง ทรงเริ่มก่อตั้งวางรากฐานและเก็บรักษาสืบต่อกันมายาวนานรุ่นแล้วรุ่นเล่า จึงไม่มีคำเรียกใดจะเหมาะสมแม่นยำบ่งบอกถึงความเป็นมาที่ยาวนานและตรงกับความหมายที่รอบด้านเหมือนกับคำที่หลวงตาได้กล่าวไว้อย่างน่าอัศจรรย์ตั้งแต่วันแรกที่ประกาศจะเข้ามากอบกู้ชาติด้วยคำเรียกทุนสำรองของแผ่นดินว่า “คลังหลวง" ด้วยความเป็นมาที่ผูกโยงไว้กับราชประเพณีของพระมหากษัตริย์ ด้วยมูลค่าที่เป็นสมบัติค้ำประกันชาติ และด้วยความมีส่วนร่วมที่ชาวไทยทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของ “คลังหลวง” จึงเป็นสัญลักษณ์สื่อกลางเป็นเครื่องหมายแสดงความผูกพันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนทั่วทั้งแผ่นดิน และเมื่อมีเงินทองบริจาคในโครงการช่วยชาติของหลวงตาเข้ามาเกี่ยวข้อง จากความสำคัญก็ขยับขยายกลายเป็นความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาในทันที เนื่องจากเงินทองบริจาคทั้งหลายของหลวงตานี้มีการกล่าวถวายยกเป็นสมบัติของสงฆ์ และสงฆ์ก็พร้อมใจกันยกให้เป็นสมบัติของแผ่นดินโดยมีเจตนารมณ์ให้เก็บรักษาไว้ใน “คลังหลวง” เพื่อหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับของบรรพบุรุษสมบัติในคลังหลวงขณะนี้จึงกลายเป็นสมบัติที่ถูกหลอมรวมกันระหว่างพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์จากอดีตถึงปัจจุบัน พระสงฆ์ทั่วพุทธอาณาจักร ตลอดจนชาวไทยทั่วทั้งประเทศ โดยทั้ง ๓ สถาบันมีเจตนารมณ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเจตนารมณ์เดิมของบูรพกษัตริย์และบรรพบุรุษที่ท่านวางรากฐานและพาดำเนินไว้ “คลังหลวง” ในสมัยปัจจุบันจึงเป็นสถานที่หลอมรวมทั้งความศักดิ์สิทธิ์ ความสำคัญ และคุณค่าที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะเห็นเป็นเพียงวัตถุ เป็นธนบัตร เป็นทองคำ เป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือเห็นเป็นเพียงการเงินการคลังตามหลักวิชาเศรษฐศาสตร์แบบตะวันตกเท่านั้น ต่อไปนี้จะขอยกพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับคลังหลวง ซึ่งหลวงตาเมตตาแสดงไว้ในหลายลักษณะดังนี้
ในช่วงภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ พระสงฆ์และประชาชนทุกสารทิศทั้งในและนอกประเทศ ต่างเดินทางมากราบสักการะหลวงตาและบริจาคปัจจัยเข้าสู่โครงการช่วยชาติ
|
“...สมบัติเงินทองที่ได้มานี้ นับแต่วงศ์กษัตริย์ลงมาถึงพี่น้องชาวไทยทั่วหน้ากัน บริจาครวมหัวกันในนามของชาติไทย...ได้เสียสละลงมาพร้อมหน้ากัน นี่เรียกว่าสมบัติของชาติ ในนามของชาติ แล้วจะเอาเข้าสู่คลังหลวงซึ่งเป็นของคู่ควรกันกับชาติ...สมบัติคือคลังหลวงนี้เป็นหัวใจของคนไทยทั้งชาตินับแต่วงศ์กษัตริย์ลงมา วงศ์กษัตริย์คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรรักษาสมบัติก้อนใหญ่หลวงซึ่งเป็นหัวใจของชาตินี้ นั่นฟังซิน่ะมันเรื่องเล็กน้อยหรือ คลังหลวงอันนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือ แล้วตั้งแต่วันที่จะเอาเข้าจุดนี้เพื่อจะเสริมคลังหลวงของเราให้ใหญ่โตรโหฐานเป็นสง่าราศีขึ้นมา และเป็นความแน่นหนามั่นคงแก่ชาติไทยของเรา ทั้งเป็นหลักประกันใหญ่แห่งชาติไทยของเราที่จะติดต่อซื้อขาย การทำหน้าที่การงานระหว่างประเทศต่อกัน เช่นเขามาลงทุนลงรอนหรือกู้ยืมอะไร อันนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันรับรองโดยหลักธรรมชาติแล้ว... ...ความพร้อมเพรียง ความรักชาติ ความสามัคคี เป็นพลังอันใหญ่โตให้เห็นอยู่ชัดเจนต่อหน้านี้ เมืองไทยเราจะไปรอดด้วยอำนาจแห่งความสามัคคี ความรักชาติทั้งหลายเหล่านี้ อย่างอื่นไม่มี เราอย่าไปหวังพึ่งภายนอกเขา ชาติไหนภาษาใดก็ตามเราอย่าไปหวังพึ่ง มีคนไทยเราเท่านั้น…”
ในงานส่งมอบทองคำเข้าสู่คลังหลวง หลวงตาจะทำการประพรมน้ำมนต์ลงบนทองคำทุกครั้งเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชาติบ้านเมือง
|
ใครแตะเงินสงฆ์..ตกนรกหมกไหม้ไม่มีวันขึ้นหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับคลังหลวง ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง รัฐบาล ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือแม้แต่นักวิชาการนักคิดนักเขียนนักวิเคราะห์ด้านการเงินการคลัง รวมถึงสื่อมวลชนด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนนักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาวินิจฉัยตีความข้อกฎหมายด้านการเงิน กระทั่งถึงนายธนาคาร นักธุรกิจ พ่อค้าผู้ส่งออกนำเข้า วงการผลิตและอุตสาหกรรม ฯลฯ หน่วยงานทั้งภาครัฐภาคเอกชนเหล่านี้มักจะมองคลังหลวงในแง่เดียว คือมองเป็นมูลค่าทางการเงินเท่านั้น ซึ่งย่อมจะยินดีหากมีการเปลี่ยนแปลงหรือเคลื่อนย้ายคลังหลวงไปในจุดที่ทำให้กลุ่มของตนหรือหน่วยงานของตนพลอยได้รับประโยชน์ไปด้วยก็จะพากันจัดสัมมนาหรือเขียนบทความสนับสนุน โดยที่ไม่ทันคาดคิดว่าความคิด การพูด และการกระทำดังกล่าวเป็นการก้าวล่วงเข้ามาแตะต้องสมบัติในคลังหลวงซึ่งเป็นสมบัติของสงฆ์ที่ใครเข้ามาถือเอาจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตามย่อมเป็นกรรมหนักที่ได้ก่อไว้ เปรียบเหมือนกับก้าวย่างเข้ามาในวัดวาอารามแล้วหยิบฉวยเอาถ้วยจานชาม เครื่องใช้ของสงฆ์ ฯลฯ จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ต้องเป็นหนี้สงฆ์เป็นกรรมอีกนานแสนนาน ด้วยความปรารถนาหวังดีต่อหน่วยงานข้างต้นที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคลังหลวงโดยหน้าที่การงาน เกรงว่าอาจมีการดำเนินการที่ผิดพลาดด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงขอแสดงให้เห็นบทบาทของคลังหลวงในอีกแง่หนึ่งนอกเหนือจากการมองในเชิงวัตถุว่าคลังหลวงนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ซึ่งหลวงตาเมตตากล่าวแสดงธรรมตักเตือนไว้อย่างน่าสะพรึงกลัว ดังต่อไปนี้ “...บาปกรรมอะไรไม่เกินการทำลายต่อชาติซึ่งเป็นส่วนรวมนะ สมบัติมากน้อยนี้ อย่างพี่น้องทั้งหลายนำมาบริจาคเพื่อชาติไทยนี้ เป็นมหากุศล ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เราให้ทานธรรมดาเป็นอย่างหนึ่ง เราให้ทานเพื่อชาติไทยของเราซึ่งเป็นเรื่องใหญ่หลวงนี้ บุญกุศลนั้นเป็นมหากุศลของเรา ทีนี้เวลาใครมาแตะต้องทำลายสมบัติซึ่งเป็นสมบัติของชาตินี้ เป็นโทษมหันตโทษทีเดียว แล้วตกนรกหมกไหม้ไม่มีวันขึ้นเลย กี่กัปกี่กัลป์อยู่นั้น... ...เงินนี้เป็นเงินพระนะ ไม่ได้เหมือนเงินธรรมดาของคนทั่วๆ ไป นี้รวมเข้ามามาให้เราแล้ว กลายเป็นเงินพระไปแล้ว เป็นเงินสงฆ์ด้วย ไม่ใช่เงินพระธรรมดาเป็นเงินสงฆ์ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของสมบัตินี้ด้วย เพราะฉะนั้นใครจึงมาทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ตกนรกไม่มีวันขึ้นเลย เรื่องนี้กรรมหนักนะ เพราะมหากุศลของชาตินี่นะ จะทำเล่นๆ ได้เหรอ จมอย่างไม่มีวันฟื้นเลย หมดทางเลยว่างั้นเถอะน่า ถ้าใครมาแตะมายุ่งกับเงินเหล่านี้ เพราะมันเป็นบาปหนัก กรรมหนักจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ได้เหมือนเงินทั่วๆ ไป สงฆ์ยกให้เพื่อชาติ นั่นมีแต่เรื่องใหญ่ๆ ทั้งนั้น ฉะนั้นจึงได้เตือนไว้ให้ทราบทุกคน อย่ามาทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ...” โกงกินสมบัติคลังหลวง เป็นอนันตริยกรรม ๕ “...สมบัติเงินทองข้าวของที่เอามาจากตับปอดของพี่น้องชาวไทยเราทั้งชาติ มีจำนวนมากขนาดไหน ต่างคนต่างเสียสละเข้าสู่ส่วนรวม เพื่อหนุนชาติไทยของตนเอง แต่ครั้นเข้าไปแล้วพวกพุงใหญ่พุงหลวง พวกยักษ์พวกผี พวกความโลภไม่มีเมืองพอ มันกลืนเอาๆ อย่างภาคภูมิใจ กินโต๊ะเลี้ยงโต๊ะบนเก้าอี้กันนี้อย่างภาคภูมิใจ นี่คือเอาตับปอดของประชาชนไปเลี้ยงโต๊ะกัน พวกนี้พวกบาปหนาที่สุดเลย จะเทียบว่าพวกอนันตริยกรรมเราก็ยอมรับทันที เพราะคนทั้งประเทศเป็นอาหารของพวกพุงหลวง กินไม่อิ่มพอ กินโต๊ะกันคนสองสามคน สองสามก๊กเท่านี้ กินตับกินปอดของประชาชนด้วยความภาคภูมิใจในสมบัติเหล่านี้ ที่ได้มามากน้อยจากตับปอดของประชาชน นี่ก็ภาคภูมิใจประเภทหนึ่ง ที่กิเลสหลอกให้ภาคภูมิใจ แล้วจากนั้นเรามียศถาบรรดาศักดิ์ เรามีอำนาจบาตรหลวงปกครองบ้านเมือง ชี้ไปยังไงก็ได้ นี้ก็เป็นความภูมิใจของกิเลสหลอกพวกดินเหนียวติดหัวอีกประเภทหนึ่ง นี่ละเครื่องหลอกพวกนี้ให้จมลงในนรกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย
เราจึงไม่กล้าค้านที่ว่า อนันตริยกรรม กรรมที่หนักมากที่สุดคืออะไร ท่านก็แสดงไว้แล้วในธรรม บอกไว้ ๕ ประการคือ ฆ่ามารดาหนึ่ง ฆ่าบิดาหนึ่ง ฆ่าพระอรหันต์หนึ่ง ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตายก็ตาม เพียงได้รับความบอบช้ำบ้างเท่านั้นหนึ่ง ทำลายสงฆ์ที่ท่านมีความพร้อมเพรียงสามัคคีกลมกลืนกัน ด้วยหลักธรรมวินัย ให้แตกร้าวจากกันหนึ่ง ธรรม ๕ ประการนี้ท่านยังเตือนไว้ด้วยว่า ถ้ายังพอมีสติระลึกได้อยู่บ้าง อย่าทำเป็นอันขาด ฟังซิน่ะ อันนี้เอาเข้าไปเรียกว่าลักษณะตัดสินธรรมวินัย
ในช่วงภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ พระสงฆ์จากหลาย ๆ จังหวัด ต่างเดินทางมากราบสักการะหลวงตาและบริจาคปัจจัยเข้าสู่โครงการช่วยชาติ
|
เงินทองที่บริจาคเข้าโครงการช่วยชาติ ล้วนเกิดจากศรัทธาในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น จากภาพประชาชนร่วมกันเคลื่อนขบวนผ้าป่าช่วยชาติในงานบูชาคุณแผ่นดินณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๔
|
ท่านแสดงไว้เป็นกลางๆ อันไหนที่ควรแก่สิ่งใดให้น้อมเข้าไปสิ่งนั้น คือถ้าอันใดที่ควรแก่ฝ่ายผิดก็ให้น้อมไปทางฝ่ายผิด ยกตัวอย่างเช่น แต่ก่อนมีสุรา ยาฝิ่น กัญชา ยาเสพย์ติดนี้ไม่มี ท่านให้โอนเข้าไปฝ่ายผิดนี้เพราะเป็นประเภทเดียวกัน นี่เรียกว่าลักษณะการตัดสินธรรมวินัย ...
พระพุทธเจ้าทรงวางไว้อย่างกลางๆ อันไหนที่เข้าไปในสิ่งไม่ควรก็ให้โอนไปสิ่งไม่ควรเสีย อันไหนที่ควรให้โอนไปสิ่งที่ควรเสีย ... กรรมกินตับปอดคนทั้งชาติเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร ทำไมจะโอนเข้าไม่ได้ ฆ่าพ่อฆ่าแม่เพียงคนหนึ่งสองคนยังโทษหนักมาก นี่ฆ่าคนทั้งประเทศ กินตับกินปอดแต่ไม่ให้ตาย เอาตับเอาปอดออกมากิน ให้ทนทุกข์ทรมานอยู่ด้วยความทุกข์จนข้นแค้นทั่วประเทศไทยของเรา เห็นไหมเวลานี้ นี่ประชาชนเราได้รับความทุกข์จนเพราะอะไร เพราะสิ่งเหล่านี้เอง ได้มาแล้วไม่เข้าตามจุดที่หมาย รั่วไหลแตกซึมออกไปลงมหาสมุทรทะเล จากนั้นก็ไหลขึ้นบนโต๊ะบนเก้าอี้ สะแตกแดกปอดกันอยู่นั้นเสียแหลกเลย นี่ละกินตับกินปอดของประชาชน มีเท่าไรๆ ขนเข้าไปกินกันตลอด จะไม่เป็น อนันตริยกรรม ได้ยังไง เข้าได้อย่างสนิทเลย เราพูดจริงๆ เอามาเทียบซิหลักธรรมวินัยมี มันควรแก่ อนันตริยกรรม ได้ พวกนี้เป็นพวกที่ทำกรรมหนักมากที่สุดทีเดียว เพราะกินตับปอดประชาชนแล้วยังทรมานเขาด้วย กินไม่ให้ตายนะ กินตับกินปอดประชาชน เวลานี้กำลังทุกข์จนข้นแค้นดีดดิ้นกันทุกแห่งทุกหน ด้วยการทำมาหาเลี้ยงชีพ การซื้อการขาย ตะเกียกตะกายแทบเป็นแทบตาย นี้คือดิ้น คนไม่ตายมันต้องดิ้นเพราะความจน จนมาจากอะไร จนเพราะเขาเอาตับเอาปอดไปกิน นั่นแยกให้ชัดๆ อย่างนั้นซิ แล้วจะไม่เป็นไปได้ยังไงในอนันตริยกรรม ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ เราแยกหลักธรรมออกมาเทียบเคียงกัน ท่านบอกไว้เพียง ๕ ข้อ อนันตริยกรรม ๕ ส่วนฟาดประเทศไทยเอาตับเอาปอดมากิน ทรมานไว้ไม่ให้ตายนี้ มันจะเป็นกรรมหนักมากเท่าไร ให้ไปพิจารณากันเอง เราไม่กล้าตัดสิน แต่เรื่องที่จะอนุโลมธรรมประเภทที่หนักมากๆ นี้เข้าสู่อนันตริยกรรม เราไม่ค้านเลยว่างั้น ...”
|