Skip to content
Skip to 1st column
Skip to 2nd column
ชื่อผู้ใช้
รหัสผ่าน
จำข้อมูลไว้
ลืมรหัสผ่าน?
Home
เทศน์เรื่องคลังหลวง
เหตุการณ์สำคัญ
ข่าวจากสื่อ
บทความวิชาการ
เกร็ดความรู้
จดหมายเหตุหลวงตาฯ
E book คลังหลวงแห่งประเทศไทย
คลังหลวงแห่งประเทศไทย ตอนที่ 1
คลังหลวงแห่งประเทศไทย ตอนที่ 2
เข้าสู่ระบบ
Home
คลังหลวงแห่งประเทศไทย ตอนที่ 2
๒๖ กฎหมายมหาภัย..ต่อคลังหลวง
๒๖ กฎหมายมหาภัย..ต่อคลังหลวง
ในบทที่แล้วกล่าวถึงสาระสำคัญของร่างกฎหมายรวมบัญชีทั้ง ๒ ฉบับว่า เป็นการทำลายหลักการและเจตนารมณ์ของ
“
คลังหลวง
”
โดยสิ้นเชิง
เนื่องจากในอดีตท่านก่อตั้ง
“
คลังหลวง
”
เพื่อรักษาทรัพย์กองนี้ไว้อย่างมั่นคงปลอดภัย เป็นหลักประกันของชาติ มิได้หวังเอาทรัพย์กองนี้ไปลงทุนเพื่อหวังเก็งกำไรแต่อย่างใด สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของหลวงตาและพี่น้องประชาชนที่ต้องการนำ
“
เงินบริจาค
”
เข้าสู่จุดที่มั่นคงปลอดภัยใน
“
คลังหลวง
”
แห่งนี้ เพื่อเพิ่มพูนให้แน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น
ในขณะที่เนื้อหาของ
“
ร่างกฎหมายรวมบัญชี
”
กลับเป็นการยุบคลังหลวงนี้ไป แล้วรวบเอาทรัพย์สินทั้งหมดของคลังหลวงที่เก็บไว้ใน
“
ฝ่ายออกบัตร
”
ยึดเอามาเป็นของ
“
ฝ่าย
การธนาคาร
”
เสียทั้งหมด
นั่นคือ การให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเต็มที่ในการบริหารจัดการสินทรัพย์ในคลังหลวง เป็นการทะลายกำแพงเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาหยิบเอา
“
เงินเก็บ
”
หรือ
“
เงินมั่นคง
”
ไปใช้เพื่อการเก็งกำไรและมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นจนอาจพาชาติให้ล่มจมได้ในที่สุด
ในระยะแรกที่รัฐบาลเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้หลวงตาท่านได้บิณฑบาตขอร้องรัฐบาล
“
อย่าแตะคลังหลวง
”
อย่างน้อย ๓ ครั้งให้ยกเลิกไป
ครั้งแรกคือในวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ครั้งที่สองในวันที่ ๓๑ มีนาคม และครั้งที่สามในวันที่ ๒ พฤษภาคม ปีเดียวกัน โดยท่านได้เทศน์ว่า
“
...
คลังหลวงของเราก็คือหัวใจของชาติไทยเรา
.......
รักษากันมานมนานตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ปู่ย่าตายายแห่งประเทศไทยของเรา รักษาสมบัติกองนี้ไว้มาตลอด ไม่เคยมีใครมาแตะต้อง แม้ตั้งรัฐบาลมากี่ชุดก็ไม่เคยมีรัฐบาลใดมาแตะต้องเงินจำนวนนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ทราบว่าจะเอาเงินเหล่านี้มารวมกัน
3
กองนับจำนวนหนึ่งกองนี้ด้วยเข้าไปนั้น เราจึงไม่เห็นด้วยตามหลักของธรรม แล้วไม่ใช่ด้วยเป็นทิฏฐิมานะของเรา ถึงขนาดที่ว่าเราขอบิณฑบาต ขออย่าได้มาแตะต้องเงินจำนวนนี้เลย ซึ่งเท่ากับการเข้ามาทำลายชาติของเราทั้งชาติทีเดียว
...
”
2
1
3
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีความจำเป็นเกี่ยวกับภาระหนี้สินของชาติก็อาจยังพอมีหนทางแก้ไขได้โดยไม่กระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของคลังหลวงซึ่งเป็นสมบัติปราการด่านสุดท้ายของชาติ แม้หลวงตาจะขอร้องถึงเพียงนี้แล้วก็ตาม รัฐบาลยังคงเมินเฉยและไม่มีทีท่าจะยุติ ยังเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อทางสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นคล้อยตามโดยให้ข้อมูลเพียงบางส่วน หรือบางครั้งถึงกับบิดเบือนความจริง
ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเข้าใจเจตนารมณ์ของ
“
โครงการช่วยชาติ
”
ผิดไป และเริ่มตำหนิติเตียน จนในที่สุดหลวงตาจำเป็นต้องแสดงพระธรรมเทศนาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ยุติการออกกฎหมาย ดังต่อไปนี้
v
รัฐบาลต้องฟังเสียงประชาชน
“
...รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของประชาชนตั้งขึ้นมา ...
ต้องฟังเสียงประชาชน... จะเอาอำนาจบาทหลวงขึ้นมาว่า เราเป็นรัฐบาล
เป็นเจ้าอำนาจบาทหลวงเหยียบย่ำทำลายชาติบ้านเมือง
หรือพ่อแม่ของรัฐบาลได้แก่ประชาชนนี้ไม่ได้ ผิดทั้งนั้นแหละ
อำนาจอันใดก็ตามต้องให้มีประชาชนเป็นผู้ควบคุมอำนาจนั้นไว้
ไม่ใช่กฎหมายของคนสองสามคนเข้ามาตั้งเป็นเจ้าอำนาจวาสนาใหญ่โต
มาเหยียบย่ำทำลายชาติไทยของเรา ก็เรียกว่ารัฐบาลมหาภัยเท่านั้นเอง
ไม่ใช่รัฐบาลที่ดีสมความมุ่งหมายของประชาชนที่ตั้งขึ้นมา
...
แล้วกฎหมายใดที่มาทำชาติไทยของเราให้เสียหายไปอย่างนี้ เรียกว่ากฎหมายมหาภัยต่อชาติ
จึงไม่ควรเอาเข้ามาทำลาย นี่ละหลักของธรรมพูดอย่างนี้
…
เราจะนำสมบัติเหล่านี้เข้าสู่คลังหลวง คลังหลวงคือจุดนี้เอง จุดที่ปลอดภัย
ไม่ให้ใครมาแตะต้องตลอดมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ปู่ย่าตายายของชาติไทยเรา
รักษาสมบัตินี้โดยมีกฎหมายเข้มงวดกวดขัน รักษามาตลอด จึงไม่ให้ใครเข้ามาแตะต้อง
…
กฎหมายก็ต้องอยู่ใต้อำนาจของคนทั้งชาติ ไม่ได้เหนืออำนาจนะ
ตั้งขึ้นมาเพื่อรักษาประชาชน สมบัติเงินทองข้าวของ
ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำลายชาติบ้านเมือง
…”
v
คลังหลวงเก็บไว้เพื่ออะไร
?
“
...คลังหลวงคือคลังสมบัติเดิมของบรรพบุรุษเราที่รักษาไว้เป็นมรดกของชาติ
เป็นหัวใจของชาติ เป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นแก่นเป็นสารของชาติ คือคลังหลวง
อันนี้บรรพบุรุษของเราได้รักษามานมนาน มีกฎหมายบ้านเมืองรักษามาด้วยตลอดเวลา
ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครมาแตะต้องทำลาย
…
สมบัติเหล่านี้มีเก็บไว้เพื่ออะไร
?
ก็บรรพบุรุษท่านมีความเฉลียวฉลาดรอบคอบในบ้านในเมืองที่ท่านปกครอง
สมบัติเหล่านี้ท่านจึงเก็บไว้เพื่อความจำเป็น เวลามีความจำเป็นจริงๆ
เรียกว่าเข้าขั้นวิกฤตการณ์หาทางไหนไม่ได้แล้ว
ท่านจึงจะนำสมบัติเหล่านี้ไปแก้เหตุการณ์ต่างๆ
เพื่อเอาตัวรอดเป็นพักเป็นตอนไปจากสมบัติเหล่านี้
เพราะฉะนั้นสมบัติเหล่านี้เมื่อยังไม่ถึงขั้นวิกฤตการณ์ขนาดนั้น
จึงต้องเก็บไว้ตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
เวลานี้ก็ได้ทราบจากทางราชการว่า
จะนำสมบัตินี้ออกไปเพื่อความเจริญ ฟื้นฟูชาติไทยของเราว่างั้น
แล้วสมบัติเหล่านี้ได้เคยเก็บไว้มาดั้งเดิมอยู่แล้ว เป็นของแน่นหนามั่นคงมาก
เพราะหัวใจประชาชนทั้งประเทศอยู่ในสมบัติกองนี้ทั้งนั้น
ชีวิตจิตใจศักดิ์ศรีดีงามหรือเครดิตอะไรอยู่ในนี้ทั้งหมด ในสมบัติกองนี้
ซึ่งไม่เคยแตะต้องเลย ก็รู้สึกว่าเป็นสิริมงคลแก่ชาติไทยของเราตลอดมา
สมบัติกองนี้ที่เก็บไว้ไม่ใช้จ่ายในเวลาที่ยังไม่จำเป็นอย่างนี้
ก็ไม่เคยปรากฏว่าก่อความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้ใด
ก็เป็นสิริมงคลและเป็นที่ภาคภูมิใจของชาติไทยเราตลอดมา
…”
v
ถ้าเอาคลังหลวงไปใช้ประโยชน์จะฟื้นฟูชาติได้จริงหรือ
?
“
...ทราบชัดเจนมาโดยลำดับว่า ทางรัฐบาลจะตั้งกฎหมายจะเข้ามาเอาสมบัติเหล่านี้
แต่ก่อนมีสมบัติอยู่สามกอง ว่างั้นนะเท่าที่ทราบ
กองนี้เป็นกองใหญ่ที่ไม่มีใครแตะต้องในคนทั้งชาติ
รักษาอย่างเดียวกันหมดไม่มีอะไรมาแตะต้อง
ก็ทราบว่าจะเอาสมบัติทั้งสามกองนี้มารวมกัน สมบัติมารวมกันก็เท่ากับว่า
โกยเอาสมบัติในชาติไทย หัวใจของชาติไทยเราทั้งชาตินี้ออกไปละเลงในน้ำทะเลไปหมด
ที่พูดว่าจะไปฟื้นฟู คำว่าฟื้นฟูกับความจะเอาไปล่มจม ว่างั้นเถอะ เป็นเสียงเดียวกัน
ในหลักธรรมชาติตามอรรถตามธรรมนะ
ไอ้เรื่องคำพูดของคนว่าจะไปฟื้นฟูอย่างนั้นอย่างนี้พูดได้ทั้งนั้น
คนเรามีลิ้นมีปากพูดให้หวานขนาดไหนก็ได้ แต่ความขมมันติดกัน แทรกกันอยู่กับความหวาน
... จะเอาไปฟื้นฟูหรือจะเอาคนทั้งชาตินี้ไปจมในทะเลหลวง
มันก็อดถามกันไม่ได้นะ เพราะสมบัติทั้งชาตินี้พากันรักษาอยู่
ก็ไม่เห็นพาชาติไทยของเราให้ล่มจมด้วยการเก็บรักษาสมบัตินี้ไว้
เมื่อความขัดแย้งเข้ามา เห็นว่าเก็บไว้อย่างนี้ไม่เกิดประโยชน์
เอาไปฟื้นฟูชาติไทยของเราเพื่อเกิดประโยชน์ มันก็เกิดปัญหาสวนทางกันเข้ามาว่า
สมบัติเหล่านี้ให้ความร่มเย็นแก่ชาติไทยของเรามาเต็มสัดเต็มส่วนแล้ว
ไม่เป็นประโยชน์อย่างใด มันมองไม่เห็น มีแต่ประโยชน์เต็มตัว
…”
v
ถูกต้องหรือไม่ถ้าจะเอาคลังหลวงทั้งกองไปใช้หนี้
?
“
...ชาติไทยของเราภาคภูมิใจด้วยสมบัติกองนี้ทั้งนั้น
ไม่ได้ภาคภูมิใจกับสมบัติกองใด แล้วจะนำสมบัติเหล่านี้ไปฟื้นฟูบ้านเมือง
จะไปฟื้นฟูแบบไหน ที่มันเสื่อม มันเสื่อมเพราะใครเป็นคนทำ
สมบัติกองนี้ไม่ได้ไปทำลายอะไรให้ล่มจมไปพอจะนำสมบัติเหล่านี้ไปฟื้นฟู
ถ้าสมบัติเหล่านี้มีคดีติดตัวทำให้บ้านเมืองล่มจม
จะมาเอาสมบัติกองนี้ไปฟื้นฟูก็มีเหตุผลอยู่
แต่นี่สมบัติกองนี้ไม่เคยทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใด
ชาวไทยทั้งชาติมีความสงบร่มเย็นอบอุ่นอยู่ด้วยสมบัติกองนี้กันทั้งชาติ
ทีนี้เวลาเอาสมบัติเหล่านี้ออกไปแล้ว ก็เท่ากับโกยเอาหัวใจของคนไทยทั้งชาตินี้
ออกไปฟื้นฟูลงในทะเล นี่ละคำว่าฟื้นฟูนี่เอาไปฟื้นฟูลงในทะเล
ให้ไปเจริญอยู่น้ำทะเลหรือพุงหลวงของใครคณะใด
พี่น้องชาวไทยเราทราบไม่ได้เมื่อหลุดจากคลังหลวงนี้ออกไปแล้ว
มันจะเป็นทุกแบบทุกฉบับ ถ้ามันไม่ตั้งเค้ามาตั้งแต่ต้นว่าเพื่อจะเป็นอย่างนั้นแล้ว
ไม่ควรที่จะเข้ามาทะลึ่งกับสมบัติกองนี้
...
สมบัติกองนี้ไม่ไปหากว้านยืมเขามาเพื่อติดหนี้ติดสินพอจะนำสมบัติกองนี้ไปใช้หนี้เขา
เป็นเรื่องของสิ่งภายนอกเท่านั้นก่อขึ้นมา ไปกู้ยืมเขามากี่หมื่นกี่แสนกี่พันล้าน
กี่ล้านๆ ๆ ก็ไม่ใช่สมบัติกองนี้ไปกู้ยืมมา เป็นคนไปกู้ยืมมา เช่น คณะรัฐบาล
เป็นต้น เป็นผู้ไปกู้ยืมมา กู้ยืมมามากน้อย คณะรัฐบาลไปกู้ยืมเงินเขามานั้น
ก็ต้องไปกู้ยืมด้วยความว่ามีปัญญา ถ้ามีปัญญากู้ยืมเขามาได้
ทำไมจะไม่มีปัญญาหาเงินไปใช้หนี้เขา
จำเป็นอะไรจะต้องมากอบโกยเอาตับเอาปอดของคนทั้งชาติจากสมบัติกองใหญ่นี้ไปฟื้นฟู
ก็แสดงว่า ...
เป็นมหาภัยต่อชาติไทยของเราอย่างยิ่ง...
”
v
ออกกฎหมายมหาภัยบีบบังคับเอาคลังหลวงแล้ว..ชาติจม
“
...คลังหลวงนี้เป็นความแน่นหนามั่นคงแก่ชาติไทยของเรา
ทั้งเป็นหลักประกันใหญ่แห่งชาติไทยของเราที่จะติดต่อซื้อขาย
การทำหน้าที่การงานระหว่างประเทศต่อกัน เช่นเขามาลงทุนลงรอนหรือกู้ยืมอะไร
อันนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันรับรองโดยหลักธรรมชาติแล้ว...กฎหมายข้อนี้ที่จะมาลุกลามหรือมาโกยเอาสมบัติของชาติไทยเรานี้
เรียกว่า กฎหมายมหาภัย ชาติไทยจะรับไม่ได้
ตามเรื่องความรู้สึกในแง่แห่งธรรมแล้วเป็นอย่างนั้น
…
จะมีความเจริญที่ตรงไหน ที่ว่ากฎหมายข้อนี้ที่จะมานี้
คือมาบีบบังคับเอาเงินก้อนนี้นั่นเอง ถ้าไม่ใช่มหาภัยจะมาบีบทำไม
เงินกองนี้ไม่ได้เป็นมหาภัย สิ่งที่จะมาทำลายเงินกองนี้ต่างหากเป็นมหาภัย
จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องกำจัด
จากพี่น้องชาวไทยทุกคนที่รักชาติหรือรักสมบัติกองนี้
จะต้องต่างคนต่างต้องป้องกันไว้เต็มเหนี่ยว
ไม่อย่างนั้นชาติไทยจมไม่มีอะไรเหลือเลยแหละ กฎหมายมหาภัยนี้จะมาเผาแหลกหมดเลย
…”
< ก่อนหน้า
ถัดไป >
[ ย้อนกลับ]
Website ที่เกี่ยวข้อง
หนังสือ คลังหลวง แห่งประเทศไทย ตอนที่ 2
หนังสือ คลังหลวงแห่งประเทศไทย ตอนที่ 2
๑๘ หลวงตาสงเคราะห์โลก..แบบใต้ดิน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๑๙ วิกฤตเศรษฐกิจ ทุนสำรอง ๒ โอ่งย่อยยับ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๒๐ สนธิสัญญา IMF พาชาติดิ่งเหว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๒๑ โครงการช่วยชาติ เพิ่มพูนโอ่งคลังหลวง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๒๒ ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ องค์ประธาน "โครงการช่วยชาติ"
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๒๓ หลวงตาเน้น..ทองคำ หลักประกันชาติ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๒๔ ความศักดิ์สิทธิ์แห่ง ?คลังหลวง?
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๒๕ แนวคิดออกกฎหมายรวมบัญชี ๒๕๔๓
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๒๖ กฎหมายมหาภัย..ต่อคลังหลวง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๒๗ นักวิชาการ..สนับสนุนหลวงตา
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๒๘ คลังหลวง ตามหลักรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๒๙ หลวงตาเทศน์ พลีชีพปกป้องคลังหลวง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๓๐ แนวทางหลวงตา แบ่งเบาปัญหาหนี้สินชาติ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๓๑ พระราชกำหนดการเงิน ๒๕๔๕ ขอเงินบรรพบุรุษ..ใช้หนี้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๓๒ หมดหนี้ IMF ปิดโครงการช่วยชาติ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๓๓ ปี ๒๕๕๐ แนวคิดล้วงคลังหลวง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๓๔ หลวงตาสอน..รักษาคลังหลวง อย่าอีลุ่ยฉุยแฉก
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๓๕ นักวิชาการค้าน ร่างพ.ร.บ.เงินตรา ๒๕๕๐
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๓๖ วัตถุเป็นพื้นฐาน ธรรมะกระจายทั่วแผ่นดิน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
๓๗ บทสรุป คลังหลวงแห่งประเทศไทย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
บรรณานุกรม
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
Synopsis by David Rogers
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...
คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม...