๓๒ หมดหนี้ IMF ปิดโครงการช่วยชาติ |
|
|
|
เมื่อปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจำนวนกว่า ๑.๔ ล้านล้านบาทพอจะมีหนทางเยียวยาได้บ้าง จากความช่วยเหลือของบรรพบุรุษที่ท่านบริหารจัดการทรัพย์ของแผ่นดินโดยไม่ประมาท รู้จักแบ่งกินแบ่งใช้ และแบ่งมาเพื่อการเก็บสะสมไว้โดยไม่ยอมให้เสียวินัยของคลังหลวง ทำให้สินทรัพย์ในคลังหลวงมีจำนวนมากพอจะเจียดแบ่งมาช่วยลูกหลานยุคปัจจุบันได้ แม้จะต้องใช้เวลากว่า ๒๐-๓๐ ปีก็ยังดีกว่าไม่มีทางออกเลยส่วนหนี้จากภายนอกประเทศที่ยังคาราคาซังมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งรุนแรง จนรัฐบาลต้องขอกู้เงินจาก IMF มาเพิ่มทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อรักษาค่าเงินบาทไม่ให้ตกต่ำถึงขั้นกลายเป็นเงินกงเต๊กหรือเป็นเพียงเศษกระดาษที่ไม่มีค่าอีกต่อไป เกี่ยวกับค่าเงินบาทที่ตกต่ำลงมากนี้ หลวงตากล่าวอย่างจริงจังว่า “...ที่ ๕๖ บาทต่อดอลล์ แหม สดๆ ร้อนๆ เราเลยไม่ลืม คำว่าไม่ลืมคือมันทั้งเจ็บทั้งแสบทั้งเข็ด ว่างั้นเถอะพูดง่ายๆ อย่าให้ได้ยินเราว่างั้นนะ ๕๖ บวกกับติดหนี้ติดสินเขาเข้าไปแล้ว ร้องโก้กเลยเรา เลยไม่ลืมนะ ฝังลึกมาก ถามอะไรๆ ช่องออกไม่มี มีแต่ช่องจะจมๆ มันยังไงกัน ตั้งหน้ามาสร้างความล่มจมหรือเมืองไทยเรานี่น่ะ ลงถึงขนาดนั้นนะ ไม่ได้ตั้งหน้าที่จะฟื้นจะฟูอะไรบ้างเหรอ มันลด ๕๐ สตางค์มาแล้วนี่ เมืองไทยไม่ได้ครึ่งบาทนี่นะ คือ ๕๐ สตางค์มันยังพอดีใช่ไหม นี่เขากินเข้าไปตั้ง ๕๖ มันจะไม่ร้องโก้กได้ยังไงถ้าว่าหนี้สินก็มาทุกช่องทุกทาง เราให้เขาไปค้นดูบัญชีใหญ่ ติดหนี้ติดสินเขาเท่าไรๆ ไปค้นเอามาให้ทราบชัดเจน ก่อนที่จะออกนะ คือออกช่วยชาติ เหมือนว่าจะไม่มีทางออกเลยนะ ถ้าภาษาโลกก็เรียกว่าอ่อนใจสุดยอด เหมือนหนึ่งว่าหมดกำลังใจไม่มีทางออกได้แล้ว มันเลยสดๆ ร้อนๆ นะ ดอลลาร์ก็เหยียบเข้ามาๆ จนกระทั่งเงินเราถึง ๕๖ บาท แล้วหนี้ทางโน้นทางนี้ก็มา จนเรียกว่าหาทางจะออกแทบไม่เห็นละ...เล่นกับโลกก็เป็นอย่างนั้นแล้ว มันสงบเมื่อไรโลก เพียงพูดเท่านี้ก็ดีดขึ้นดีดลงให้เป็นบ้ากันทั่วโลก เข้าใจไหมล่ะ เพียงทองคำกับเงินบาทหรือดอลลาร์อะไรก็แล้วแต่นะ มันขึ้นมันลงของมันนี้ก็เป็นบ้ากันทั่วโลก เห็นไหมล่ะ มันตายใจได้เมื่อไร ไว้ใจไม่ได้ ดีดขึ้นดีดลงอยู่อย่างนั้นตลอด เทียบกับธรรมแล้วจึงต่างกันมากทีเดียว ธรรมไม่ได้วอกแวกอย่างนั้น...”และอีกครั้งที่หลวงตากล่าวกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง คือ เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๔ ว่า“...พูดจริงๆ นะ หลวงตานี่สะเทือนมากที่สุด ในชีวิตของพระที่มาเกี่ยวกับชาติไทยเรานะ เราไม่เคยไปสนใจกับชาติบ้านเมืองอะไร เพราะไว้ใจตายใจกับทางบ้านเมือง เราก็มีแต่หน้าที่ปฏิบัติตัวเอง แต่เวลามันมากระเทือนนี่กระเทือนเอาหนัก จนร้องโก้กเลยเชียวนะ เงินฟาดเอา ๕๖ บาทต่อ ๑ ดอลลาร์ ๕๖ บาทให้เขากลืนเอาเหยียบหัว หัวเรามีเท่าไหร่ให้เขาเหยียบ แล้วพูดถึงเรื่องเงินที่จะมาใช้หนี้เขาก็เรียกว่าเป็นลมๆ แล้งๆ นี่ที่มันร้อนมาก มีแต่จะลงๆ มีแต่คอยจะจม นี่ที่มันสะเทือนแรงนะ เพราะงั้นถึงได้ออกมา...”จากนั้นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้กราบเรียนหลวงตาเกี่ยวกับหนี้ IMF ขณะนี้เหลืออีกไม่ถึง ๑๐,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ก็จะใช้คืนได้หมด และกล่าวอีกด้วยว่า “...เราก็ใช้หนี้เขาตรงเวลาตลอดทุกเดือน ขณะที่ขึ้นจาก ๓๑,๐๐๐ มา ๓๓,๐๐๐ เราใช้หนี้ใน ๖ เดือนที่ผ่านมา ใช้ทั้งเงินกู้และดอกเบี้ยไปอีก ๑,๘๐๐ ล้านเหรียญ คือเงินไหลเข้ามาอีก ปีหน้าต้องใช้หนี้ให้ IMF ประมาณ ๔,๐๐๐ ล้านเหรียญ ที่เตรียมไว้ก็มีพอ ตอนนี้สถานการณ์เราดีมาก คือ วิธีที่ฝรั่งเขาดูว่าเมืองไทยมั่นคงหรือไม่ เขาดูสำรองในกระเป๋าของเรามีเท่าไหร่เทียบกับหนี้ส่วนที่ต้องชำระในปีหน้าเท่าไหร่ แล้วดูว่ามีกี่เท่า ขณะนี้เรามี ๒.๔ เท่าของหนี้ที่ต้องชำระในปีหน้า ในส่วนปีหน้าระยะสั้นเรามีสำรองถึง ๒.๔ เท่าซึ่งตามมาตรฐานโลก ๒ เท่านี้ก็ถือว่าดีมาก ตอนนี้ก็เลยสบายใจได้ อย่างปีหน้าถ้าเราทยอยใช้หนี้ไป ปีหน้าคาดว่าเงินสำรองเราอาจจะลงมาเหลือจาก ๓๓,๐๐๐ เหลือ ๒๙,๐๐๐ หรือ ๓๐,๐๐๐ ล้านเหรียญก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนั้นเงินที่จะใช้หนี้ก็ลงอยู่แล้ว เขาจะดูสัดส่วน ควบคุมสัดส่วน ตอนนี้เขาก็ให้ Rating ประเทศไทยขึ้นมานิดหนึ่ง ... เรียกว่าให้คะแนนประเทศไทยขึ้นมานิดหนึ่งในฐานะที่สบายใจมีเงินใช้หนี้แน่ ฝรั่งเขาก็ดูว่ามีเงินใช้หนี้เขาหรือไม่ ... เขามาดูเรื่อยครับ ... ก็คงจะยังไม่ฟื้นเร็ว ...”ถึงจุดนี้หลวงตาเมตตากล่าวปลอบใจพร้อมๆ กับให้หลักเกณฑ์ด้วยว่า“เร็วไม่เร็วก็ตามเถอะ ความช้าไม่มีการกระทบกระเทือนให้เสียหายแก่ชาติไทยของเรา ช้าก็เป็นธรรมดา นอกเสียจากว่าช้าแล้วถูกปรับถูกไหมมันเป็นความกระทบกระเทือนก็เป็นอีกอย่างหนึ่งนะ นี่ไม่เป็นไร อย่าให้มีการกระทบกระเทือน”การจ่ายชำระหนี้ IMF ยังดำเนินเรื่อยมาตามปกติ กระทั่งเมื่อรัฐบาลมีความพร้อมมากขึ้นจึงได้ประกาศต่อประชาชนว่าจะเร่งชำระหนี้ให้ครบก่อนกำหนด และเมื่อหลวงตาทราบความดังกล่าวก็ได้กล่าวตอบรับว่า “เดือนกรกฎานี้เป็นเดือนที่จะสิ้นสุดถึงเรื่องอุ้งเหยี่ยวที่มันจะกำเรา เราจะใช้หนี้ ให้หมดในเดือนกรกฎานี้เอง อุ้งเหยี่ยวที่จะกำเรานี้ก็เรียกว่าล้มไปเลย ก็เพราะอำนาจแห่งพี่น้องชาวไทยที่มีกำลังความรักชาติความเสียสละ เตะออกนั่นเอง”
กระทั่งเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ประเทศไทยก็สามารถชำระหนี้ได้ครบสมบูรณ์ หมดภาระหนี้สินของชาติที่มีต่อ IMF อีกต่อไป ถึงกับทำให้หลวงตาแสดงธรรมไว้อย่างถึงใจว่า“...ให้ยกธงชาติ ใครมีธงชาติก็ไปปัก ๆ ไว้ เดี๋ยวนี้เป็นอิสระแล้วว่า IMF นี่ มันเหยียบหัวชาติไทยเรา จนถึงหลวงตาร้องโก้กเลย ทีนี้ร้องออกมาว่าพ้นแล้วได้แล้วทีนี้นะ เรียบร้อยแล้วเมื่อวานวันที่ ๓๑ นะ เสร็จเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นยังไงเราพูดอย่างนี้ผิดไปแล้วเหรอ เมืองไทยเราจะจมเพราะ IMF นี้กลืนลง ๆ ๆ อยู่ใต้อำนาจมัน มันเหยียบเอา ๆ ... โถ มันของง่ายหรือ IMF เมืองไทยเราจะจม หายใจแขม่ว ๆ ทีนี้ดีดผึงเมื่อวานนี้เสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นจึงบอกให้พากันยกธงนะ ยกธงชัยชนะเรียบร้อยแล้วเป็นอิสระแล้ว IMF ตกทะเลไปเลยเข้าใจไหม...”การที่ประเทศไทยติดหนี้ IMF ทำให้เกิดเงื่อนไขเป็นคำมั่นสัญญาว่าจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงอันเปรียบเสมือนเป็นเมืองขึ้นของ IMF และยังต้องทำรายงานส่งเป็นระยะ รัฐบาลไม่มีอิสระในการบริหารราชการแผ่นดิน จะทำอะไรก็ต้องบอกกล่าวหรืออาจเรียกว่า ต้องขออนุญาตเขา อะไรที่เขาให้ทำจึงทำได้ ที่เขาไม่เห็นด้วยก็ยากจะเป็นไป ที่สำคัญกฎหมายแต่ละฉบับที่ทำตาม IMF ล้วนแต่ทำให้ไทยทรุดลง เสียเปรียบ และนำไปสู่ความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างคนไทยด้วยกัน ดังที่เรียกกันว่า “กฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ” เพราะเป็นกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิของคนไทย แต่เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาครอบครองสมบัติของชาติได้อย่างง่ายดาย
ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ – ๒๕๔๕ เงินบริจาคถูกนำไปไว้ใน “ฝ่ายการธนาคาร” ซึ่งผิดวัตถุประสงค์เพราะไม่ใช่คลังหลวง
|
เงินบริจาคในโครงการช่วยชาติ เพิ่งจะเข้าหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับคลังหลวง (โอ่งที่ ๑) ราวปลายปี พ.ศ.๒๕๔๕
|
ทุนสำรองทั่วไปฝ่ายการธนาคาร(สินทรัพย์ของธปท.)
|
ทุนสำรองเงินตราฝ่ายออกบัตร(คลังหลวง)
|
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดประเทศไทยก็สามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์และปมเชือกอันแน่นหนาของสนธิสัญญา IMF ก่อนกำหนดถึง ๒ ปีได้อย่างน่าอัศจรรย์ทั้งๆ ที่ในช่วงแรกเหมือนจะไม่มีทางเยียวยาแก้ไขได้อีกแล้วเนื่องจากต้องอาศัยความพร้อมจากเหตุปัจจัยต่างๆ ทั้งจากภายในและนอกประเทศซึ่งหากมีเหตุการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้ก็แทบไม่มีทางจะประสบผลสำเร็จได้เลย ภาระหนักหน่วงผ่านพ้นไปได้อย่างเหนือความคาดหมายเช่นนี้ก็เนื่องด้วยผลานิสงส์แห่งการบำเพ็ญมหาทานเข้าสู่ “คลังหลวง” ของพี่น้องชาวไทยนั่นเอง
ที่กล่าวเช่นนี้ก็เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่นานนักราวปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๕ รัฐบาลเพิ่งจะโอนเงินบริจาคของหลวงตาหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับโอ่ง “คลังหลวง” ของบรรพบุรุษโดยสมบูรณ์ สาเหตุที่ล่าช้าไปก็เนื่องจากรัฐบาลเพิ่งดำเนินการทางกฎหมายให้ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งก่อนหน้านี้ (ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ – ๒๕๔๕) เงินบริจาคถูกแยกไว้ใน “ทุนสำรองทั่วไป” ของฝ่ายการธนาคารอันเป็นการผิดเจตนารมณ์ของหลวงตาและประชาชนผู้บริจาค เพราะไม่ประสงค์จะให้เงินบริจาคเป็นของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่มีวัตถุประสงค์ตั้งแต่เริ่มต้นว่าต้องการนำเงินบริจาคเข้าเพิ่มพูนใน “คลังหลวง” ซึ่งเป็นเงินเก็บสะสมเดิมของบรรพชน จากความพยายามของรัฐบาลในการผลักดันกฎหมายรวมบัญชีในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ เช่นนี้ ทำให้ประชาชนได้ทราบความจริงว่า เงินบริจาคที่มอบไปแล้วหลายครั้งยังไม่เข้าคลังหลวง ซึ่งปรากฏเป็นหลักฐานจากเอกสารของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และจากการบันทึกบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมาหลวงตาจึงร้องขอให้ย้ายเงินบริจาคเข้าสู่ “คลังหลวง” โดยเร็ว ซึ่งก็เพิ่งจะบรรลุผลสมบูรณ์เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๕ นี้เองการที่เงินบริจาคเข้าหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับ “คลังหลวง” ของบรรพบุรุษเช่นนี้ หลวงตาเรียกว่าทำให้ “เงินหัวหน้าเข้าคลังหลวง” ซึ่งมีอานิสงส์ติดตามมาด้วย นั่นคือทำให้ “เงินบริษัทบริวารพากันไหลเข้า(ทุนสำรองทั่วไป)อย่างต่อเนื่อง” สร้างความประหลาดใจให้แก่นักวิชาการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดถึงประชาชนในระยะนั้นที่ต่างก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่เพิ่งเผชิญกับวิกฤตการณ์ร้ายแรงเหมือนจะไม่มีวันฟื้นคืนมาได้ คำกล่าวเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ยืนยันถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ ดังนี้
“กระผมเชื่อเป็นแม่นมั่นว่า ทองคำแท่งและเงินดอลลาร์สหรัฐที่ได้รับจากการโครงการช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน อันเป็นที่รวมของศรัทธามหาชนทั่วประเทศ เมื่อได้นำเข้าไปรวมไว้ในคลังหลวง ย่อมจะเป็นสิริมงคลต่อคลังหลวง มีผลให้มีเงินไหลเข้ากองทุนเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นโดยไม่ขาดสาย เป็นระยะเวลาติดต่อกันตลอดสองปี หรือ ๒๔ เดือนที่ผ่านมา จนในที่สุดเราจึงมีเงินมากพอที่จะใช้หนี้ IMF ได้ก่อนกำหนด”รวมระยะเวลาจากจุดแรกที่กู้เงินจาก IMF จนกระทั่งหมดหนี้นับเป็นเวลาถึง ๖ ปีเต็ม และจากภาระหนี้ IMF ที่หมดสิ้นไปนี้เอง ทำให้หลวงตาตัดสินใจยุติโครงการช่วยชาติ แต่ยังคง “สงเคราะห์โลก” และรับบริจาคทองคำหลอมเข้าสู่คลังหลวงเช่นเดิม ด้วยความหนักหน่วงหักโหมจากการเทศนาและต้องแบกหามสังขารร่างกายในวัย ๘๕-๙๑ ปี เพื่อเดินทางเกือบจะทั่วแดนไทยจนกระทั่งภาระหนี้สินหมดสิ้นไป ทำให้หลวงตากล่าวว่า“…ทองคำที่ได้มามากน้อยควรจะหลอมเราก็หลอมตามเดิมไม่เคลื่อนคลาดแหละ ได้มากน้อยก็หลอมตามเดิม ถ้าพอที่จะมอบเข้าคลังหลวงเราก็มอบตามเดิม ดอลลาร์ก็เหมือนกัน ทั้งเงินสด ทั้งดอลลาร์ เงินสดควรแยกเข้าไปซื้อทองคำเราก็แยก ควรแยกช่วยชาติบ้านเมืองดังที่เคยปฏิบัติมานี้เราก็ทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้...
เอกสารนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการเอกสารการบันทึกบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๒ GEN A/C เป็นการนำทองคำบริจาคจากหลวงตามหาบัวน้ำหนัก 1,037.7855 กิโลกรัม และเงิน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ โอนเข้า บัญชีขัดข้องเจ้าหนี้-เงินช่วยเหลือทุนสำรองทางการ ซึ่งเป็นการระบุชัดเจนว่า เงินบริจาคไม่ได้เข้าในคลังหลวง แต่ไปอยู่ใน GEN A/C ซึ่งหมายถึงบัญชีของฝ่ายการธนาคาร ที่ถูกต้องตามเจตนาของผู้บริจาคแล้วต้องการนำเงินบริจาคโอนเข้าบัญชีของ “ทุนสำรองเงินตรา” เพื่อเพิ่มพูนกับเงินเดิมของบรรพบุรุษ (ที่มาของเอกสาร : ธนาคารแห่งประเทศไทย)
|
...นี่ตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ถึงวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็น ๖ ปีนะ นั่นไม่ใช่เล่น หลวงตาแบกอยู่ตลอดเวลา ๖ ปีเต็มนี้ เราพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าหนักมาก เรารู้สึกว่าหนักมากกว่าบรรดาพี่น้องชาวไทยเราทั้งประเทศ เพราะเราเป็นผู้ออกโครงการเอง คิดอ่านไตร่ตรองเพื่อชาติบ้านเมืองเองทุกอย่าง เป็นเรื่องออกจากเราๆ การเคลื่อนไหวไปมาที่ไหนๆ ก็ออกจากเรา เราเป็นผู้เคลื่อนไหว เป็นผู้ไปผู้มา เพราะฉะนั้นเรื่องจึงหนักมากอยู่ตลอดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว การเทศนาว่าการก็ ๖ ปีนี้เต็มๆ เทศน์มาได้ ๖ ปีเต็มเลยเชียว ในโครงการนอกโครงการ ... การเทศน์คราวนี้เราก็ยอมรับว่าเรานี้ได้เทศน์มากที่สุดเลยในชีวิตของเราเอง ซึ่งไม่เคยคิดเคยอ่านว่าจะได้ทำอย่างนี้ ก็ได้ทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศนั้นแหละ ไม่ใช่เพื่อใครนะ ... อยากให้มีเนื้อมีหนังมีหน้ามีตา มีศักดิ์ศรีดีงามเหมือนโลกทั่วๆ ไปเราแต่ละคนๆ เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยกัน ชาติไทยเราก็เป็นชาติเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน จะย่อหย่อนอ่อนกว่าชาติทั้งหลายไม่ได้ นี่ละที่รักสงวนมากนะ ที่จะให้เมืองไทยเราล่มจมเพราะไม่มีอะไรจะกินจริงๆ ไม่จม เอาอย่างเด็ดเลย เมืองไทยไม่เคยจม มีความพอดิบพอดีสงบร่มเย็นมาตลอด ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว ไม่อดไม่อยากขาดแคลนอะไรตั้งแต่ปู่ย่าตายายของเราพาถ่อพาพายมาจนกระทั่งบัดนี้...”เอกสารข้างบนนี้เป็นหนังสือบันทึกของสายงานบัญชี ธนาคารแห่งประเทศ เลขที่ ๑๒๐๘/๒๕๔๑ ลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๑ เรื่อง วิธีการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับเงินที่ได้รับบริจาคเพื่อช่วยเหลือทุนสำรองทางการ มีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่า เงินบริจาคในโครงการช่วยชาติของหลวงตาถูกโอนเข้า “บัญชีฝ่ายการธนาคาร” หรือโอ่งที่ ๒ และจะโอนเข้าเป็นรายได้ของธนาคารในภายหลัง Ø หลวงตาและประชาชนมุ่งหวังให้นำเงินบริจาคเพิ่มพูนในโอ่งคลังหลวงหรือ “ทุนสำรองเงินตรา ฝ่ายออกบัตร” เพื่อรวมกับสินทรัพย์เดิมของบรรพบุรุษและเพื่อเป็นกรรมสิทธิ์ของคนไทยทุกคน ไม่ประสงค์ให้เป็นเพียงรายได้ขององค์กรใดองค์กรหนึ่งเท่านั้น (ที่มาของเอกสาร : สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน)
พิธีปิดโครงการช่วยชาติ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จเป็นองค์ประธานพิธี พร้อมด้วย ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ในงานมอบทองคำและดอลลาร์เข้าคลังหลวง ครั้งที่ ๑๒ และพิธีปิดโครงการช่วยชาติ ณ สวนอัมพร กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐบาลเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน ก่อนเริ่มพิธี นายทองก้อน วงศ์สมุทร ในนามกรรมการประชาสัมพันธ์โครงการช่วยชาติ ได้แถลงข้อมูลโครงการช่วยชาติมีใจความส่วนหนึ่งบรรยายถึงความเสียสละของหลวงตาก่อนที่จะออกมาช่วยชาติว่า“...ครั้นปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๐ พระหลวงตาผู้ชรารูปหนึ่ง จำพรรษาอยู่ที่กุฏิหลังน้อยกลางป่าเพียงลำพังแต่รูปเดียว ดำรงสมณเพศ ด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ เพียง ๓ ผืน และอัฏฐบริขาร ขณะนั้นสังขารอาพาธ ถ่ายวันละ ๗-๘ ครั้ง จนถึงต้องเกาะราวระเบียงกุฏิ พยุงสังขารเข้าออกห้องสุขาด้วยกำลังแรงที่เหลืออยู่ของตนเอง ไม่ยอมให้สังขารเป็นภาระแก่ผู้ใด บางครั้งเมื่อเดินจากกุฏิไปยังศาลาเพื่อฉันจังหัน ระยะทางเพียงไม่กี่สิบเมตร ต้องหลบเข้าราวป่าข้างทางเพื่อบรรเทาทุกข์ของธาตุขันธ์ เพราะการถ่ายไม่หยุด ฉันยาใดก็ไม่สามารถยับยั้งขันธ์ที่ชำรุดร่วงโรยนั้นไว้ได้ หลวงตาได้ขอให้หมู่คณะและศิษย์สร้างเมรุขึ้นไว้ที่หน้าวัด เพื่อที่จะใช้จัดการกับสังขารอันผุพังของท่านอย่างเรียบง่าย แต่เหตุใดพระหลวงตารูปนี้จึงตายไม่ได้ ในเวลาเดียวกันนั้น แผ่นดินไทยอันเป็นที่ประดิษฐานพระบวรพุทธศาสนา ประสบความคับขัน ชีวิตของประชาชนถูกบีบคั้นทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ความล่มสลายคืบคลาน เข้าสู่ครัวเรือน อย่างน่าหวาดวิตก ความเดือดร้อนได้แพร่ขยายไปทั่ว จิตใจของประชาชนขาดที่พึ่ง ไฟที่ลุกท่วมหัวใจของชาวไทย เริ่มแพร่ขยายลุกลามออกจากหัวอก เป็นไฟที่ลุกท่วมแผ่นดินได้ในไม่ช้า หากไม่ตัดไฟเสียแต่ต้นลม เหตุการณ์นี้หามีผู้ใดรู้เห็นได้ นอกจากพระญาณหยั่งรู้ตามแนวทางพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตาได้พิจารณาแล้วว่ามีเพียงพระศาสนาเท่านั้นที่จะเป็นสรณะ และดับไฟที่ลุกท่วมหัวใจชาวไทยได้ หลวงตาจึงได้ตัดสินใจว่า หากพระพุทธศาสนาและหลักธรรมที่หลวงตาได้มรรคได้ผล จะสามารถกู้ชาติกู้แผ่นดินให้กลับคืนสู่ความร่มเย็นเป็นสุข เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้เจริญสืบไป จะขอฉันยารักษาธาตุขันธ์อีกครั้งเดียว ถ้าไม่สามารถรักษาธาตุขันธ์ไว้ได้ ก็จะปล่อยวางให้เป็นไปตามกรรมของโลกต่อไป เมื่อทุเลาความอาพาธของธาตุขันธ์ไว้ได้ ตามฐานานุรูปของท่าน หลวงตาจึงได้พยุงสังขารของท่านออกจากป่า พร้อมผ้ากาสาวพัสตร์ ๓ ผืน กับย่ามใบน้อย ในย่ามมีเพียงถุงพลาสติกหูหิ้วเก่าๆ ใบเล็ก บรรจุคำหมาก ๔-๕ คำ ไว้ขบฉัน ไม่มีอาวุธสิ่งใดเลยนอกจากหัวใจที่เจิดจ้า ด้วยความบริสุทธิ์แห่งธรรมธาตุที่ครองไว้เต็มดวงจิต กับความมุ่งมั่นนำธรรมของพระบรมศาสดาปลุกให้จิตใจของประชาชนตื่นขึ้น ด้วยเมตตาธรรมและสามัคคีธรรมกู้ชาติบ้านเมือง ให้พ้นจากพิษภัยโดยพลัน ก่อนที่จะสายเกินไป
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุฤดูร้อนปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ผสมกับความเร่าร้อนในหัวอกของประชาชนที่ถูกแผดเผาจากพิษภัยของวิกฤตเศรษฐกิจ ความล่มสลายของสถาบันการเงิน ประเทศไทยติดหนี้ติดสินพะรุงพะรังทั้งชาติ ใต้ฝ่าพระบาทฯได้เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดโครงการช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัวเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ต่อมา เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์เข้าโครงการช่วยชาติ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมหลวงตามหาบัว ซึ่งในขณะนั้นสังขารอันชำรุดของหลวงตาอยู่ในสภาพที่เพิ่งทุเลาจากอาพาธ เนื่องจากอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ ขณะนำสิ่งของไปมอบให้โรงพยาบาลต่าง ๆ หลวงตาผอมจนกระดูกและเส้นเอ็นปูดโปน แขนขวาที่กระดูกเดาะถูกสะพายไว้ด้วยผ้า หัวไหล่ขวาที่บวมเป่งสีดำคล้ำ หลวงตาได้เริ่มโครงการช่วยชาติในสภาพของสังขารเช่นนี้
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาถึงในพิธีดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวถวายรายงานขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้านายสุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดงานปิดโครงการช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน คณะกรรมการจัดงาน คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงตา ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่า ตลอดจนผู้ที่ได้มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ ณ ที่นี้ ต่างมีความปีติยินดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาพร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เพื่อมาทรงเป็นประธานในพิธีปิดโครงการช่วยชาติในวันนี้ โอกาสนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชวโรกาสกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท เกี่ยวกับความเป็นมาของพิธีปิดโครงการช่วยชาติโดยสังเขปดังนี้ ย้อนหลังไปเมื่อวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๐ ในขณะที่หลวงตาได้เดินทางไปแจกสิ่งของให้กับโรงพยาบาลในท้องถิ่นกันดาร อันเป็นกิจวัตรที่หลวงตาได้ปฏิบัติอยู่เป็นเนืองนิตย์ ในวันนั้นจึงได้ทราบว่าโรงพยาบาลมีหนี้สินเป็นอันมาก จนไม่สามารถจะชำระหนี้ให้แก่บริษัทหรือร้านค้าที่ซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ ทั้งที่มิได้ก่อหนี้สินใดๆ ขึ้น หากแต่เป็นหนี้อันเกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เปลี่ยนไปเอง ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตทางการเงินของประเทศทำให้หลวงตารู้สึกสลดใจเป็นอันมาก ท่านจึงดำริที่จะช่วยชาติช่วยแผ่นดิน โดยทุ่มเทน้อมนำพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศให้ร่วมกันบริจาคเงิน เพื่อช่วยชาติบ้านเมืองของเรา โครงการช่วยชาติจึงได้เกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้น โดยได้รับเงินบริจาคประเดิมรายแรกเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ เป็นเงินจำนวน ๒,๕๐๐ เหรียญสหรัฐ เป็นปฐมฤกษ์ และเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายนปีเดียวกันเป็นต้นมา ซึ่งถือเป็นวันเปิดโครงการ โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาเสด็จไปเป็นองค์ประธานเปิดโครงการหลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทก็ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ไปยังสำนักสงฆ์สวนแสงธรรม เพื่อถวายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ร่วมในโครงการช่วยชาติกับหลวงตา นับว่าเป็นมหาอุดมมงคลอันยิ่งใหญ่ต่อโครงการช่วยชาติของหลวงตา ด้วยแรงศรัทธาจากทุกสารทิศต่อหลวงตามหาบัว และด้วยความรักชาติรักแผ่นดินของชาวไทยทุกหมู่เหล่า เป็นเหตุให้ทองคำ เงินเหรียญสหรัฐ เงินตราสกุลต่างประเทศ รวมทั้งเงินบาท หลั่งไหลเข้าสู่บัญชีช่วยชาติอย่างต่อเนื่องมิได้ขาดสาย และหลวงตาก็ได้รวบรวมส่งมอบให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อนำเข้าบัญชีฝ่ายออกบัตร หรือคลังหลวง ...... ระยะเวลา ๖ ปีของการดำเนินโครงการเป็นเวลาไม่น้อยสำหรับหลวงตาผู้ซึ่งชราภาพมาก แต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอดทนเต็มกำลัง ถ้าคิดจำนวนระยะทางที่หลวงตาเดินทางไปแสดงธรรมตามที่ต่าง ๆ เพื่อรับเงินผ้าป่านั้นนับได้เป็นแสนกิโลเมตร ด้วยแรงเมตตาที่หลวงตาท่านเห็นว่า เราแต่ละคนต่างอยู่ได้เพราะมีประเทศชาติ แต่จะไม่มี ใครอยู่ได้ถ้าชาติล่มจม หลวงตามหาบัวได้กำหนดไว้ว่า ในวันปิดโครงการนี้ถือเป็นวันที่ชาวไทยทุกคนถือเป็นโอกาสในการทำบุญถวายเป็นพระราชกุศลแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ในวโรกาสเฉลิมพระชนม์พรรษา ๖ รอบ ๗๒ พระชันษา ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ เพื่อความมั่นคงของชาติ เพื่อความสุขของประชาชน และเพื่อเทิดทูนพระพุทธศาสนาเคียงคู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯมาโดยตลอด โดยไม่ทรงนึกถึงความเหน็ดเหนื่อยพระวรกายแต่อย่างใด และเป็นคุณูปการต่อแผ่นดินไทย และเป็นบุญของพสกนิกรไทยยิ่งนักที่มีองค์สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ที่ทรงรักและทุ่มเทให้กับชาติไทยเป็นเวลาช้านานต่อเนื่องมาตลอด ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวกันกับที่หลวงตามหาบัวได้นำพี่น้องคนไทยเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองในยามวิกฤตด้วย วันนี้วันจันทร์ที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ นับว่าเป็นมหามงคลฤกษ์ ซึ่งจะได้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ว่าบัดนี้สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะปกติ รัฐบาลภายใต้การนำของฯพณฯ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ชำระหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๖ ทั้งหมดแล้ว ซึ่งเป็นการชำระหนี้ล่วงหน้าเป็นเวลาถึง ๒ ปี หลวงตามหาบัวจึงพิจารณาแล้วเห็นว่า ถึงเวลาสมควรที่จะยุติโครงการดังกล่าว โดยให้จัดพิธีปิดโครงการช่วยชาติขึ้น พร้อมทั้งจะมอบทองคำกับเงินเหรียญสหรัฐที่ได้รับบริจาคเพิ่มเติมไว้เข้าสู่ท้องพระคลังหลวงการมอบทองคำและเงินเหรียญสหรัฐในวันนี้ ย่อมเป็นประวัติศาสตร์ของชาติอีกวาระหนึ่ง ดังที่ปรากฏแก่สายตาแล้วว่า ขณะนี้สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์สานกันไว้ด้วยความสมานฉันท์ พระมหากรุณาธิคุณที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จมาเป็นองค์ประธานในงานนี้ ตลอดจนศรัทธาของปวงชนทั้งหลายย่อมเป็นเสมือนฟ้าและดินที่หล่อหลอมเข้าด้วยกันภายใต้ร่มเงาแห่งศาสนา จึงนับเป็นมหาอุดมมงคล เป็นบุญตาบุญใจยิ่งนัก สมดังคำกล่าวของหลวงตาว่า อำนาจแห่งความรักชาติ ความสามัคคีแห่งความเสียสละของพี่น้องชาวไทยมารวมตัวกันแล้วยกได้ทั้งประเทศในวาระอันเป็นมหามงคลที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในพิธีปิดโครงการช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนในวันนี้ ข้าพระพุทธเจ้าในนามของประชาชนชาวไทย และทุกท่านที่มาชุมนุมอยู่ ณ ที่นี้ รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ และขอพระราชทานพระราชวโรกาสน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระเจริญยิ่งยืนนาน มีพระพลานามัยแข็งแรง เป็นมิ่งขวัญและที่พึ่งของปวงข้าพระพุทธเจ้าสืบไปชั่วกาลนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
การทำประโยชน์ให้แผ่นดินแรกเริ่มย่อมมิใช่เรื่องง่าย และการยืนหยัดกระทำให้ถึง ที่สุดยังเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า หากต้องการให้บรรลุวัตถุประสงค์ ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจ และสัจจะเพื่อให้การนั้นปรากฎเป็นจริง จนบัดนี้ได้เวลา ๖ ปีแล้ว ด้วยลมหายใจอันแผ่วเบาและความผุพังของธาตุขันธ์ เป้าหมายมาถึงพร้อมกับวันเวลาที่สูญสิ้นออกไป หลวงตาได้แสดงพระธรรมเทศนาไว้ประโยคหนึ่งว่า ดวงตะวันขึ้นสู่ฟ้า เร็วหรือช้าก็อัสดง...” ส่วนหนึ่งของการแถลงข้อมูลโครงการช่วยชาติยังกล่าวถึงความอุตสาหะวิริยะของหลวงตาในการแสดงธรรมปลุกจิตสำนึกคนไทยให้มีความรักชาติและเสียสละเงินทองเพื่อกอบกู้ชาติให้พ้นจากภาวะหนี้สินจนเป็นผลสำเร็จดังนี้ “...ชีวิตวัยกว่า ๙๐ ปี หลวงตาได้ตรากตรำแสดงพระธรรมเทศนากว่า ๕๘๐ แห่ง เป็นพระธรรมเทศนาไม่น้อยกว่า ๑,๘๐๐ กัณฑ์ เพื่อขวนขวาย รวบรวม บรรดาเงินดอลลาร์และทองคำ เข้าเพิ่มพูนทุนสำรองที่มีมาแต่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ... แล้วมอบให้เป็นสมบัติของคนไทยทั้งชาติครบสมบูรณ์ในวันนี้ ตกผลึกมาจากน้ำพัก น้ำแรง และน้ำใจของคนไทยทั้งชาติ ที่มีจิตใจเมตตา และรู้คุณของแผ่นดินตามหลักธรรม ที่สื่อด้วยเสียงซึ่งเปล่งจากหัวอกของหลวงตาเพื่อมุ่งยกชาติให้พ้นภัยด้วยพระพุทธศาสนา ส่วนหนึ่งของบรรดาเงินดอลลาร์บางฉบับได้มาจากแม่ใหญ่หญิงชราชาวนา เธอแกะดอลลาร์มาจากกรอบที่ติดฝาบ้านไว้นานปี ดอลลาร์ฉบับนั้นได้มาจากลูกชาย ที่จากลูกจากเมีย จากพ่อจากแม่ไปอาบเหงื่อต่างน้ำ บนแผ่นดินต่างบ้านต่างเมือง มอบให้แม่ใหญ่ จึงใส่กรอบไว้ มันเป็นสิ่งมีค่าของครอบครัวเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงน้ำพักน้ำแรงของลูกชาย แม่ใหญ่ท่านนี้เกิดกุศลจิต จึงสละดอลลาร์ฉบับนี้เป็นทาน เข้าร่วมโครงการช่วยชาติ ส่วนบรรดาทองคำ ที่ปรากฏเป็นทองคำแท่งบริสุทธิ์ ๙๙.๙๙% ... ส่วนใหญ่ได้มาจากการหล่อหลอมทองรูปพรรณ ที่ประชาชนมีจิตศรัทธาบริจาค นำไปหลอมให้เป็นไปตามมาตรฐานในการใช้เป็นสินทรัพย์ทุนสำรอง ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีค่า เป็นของรักของหวงของผู้ที่ได้เป็นเจ้าของ แต่เมื่อได้ยินได้ฟังคำว่า เพื่อชาติ จากเสียงที่เปล่งจากหัวอกของหลวงตามีคุณค่ายิ่ง เหนือกว่าความรัก ความหวง นอกเหนือจากทองคำที่ใต้ฝ่าพระบาทฯ ทรงบริจาคหลายครั้ง ยังมีสร้อยคอทองคำ เส้นน้อยสายหนึ่ง สุภาพสตรีผู้บริจาคเปิดเผยว่า เป็นสายสร้อยทองคำที่คุณทวดของเธอรับขวัญเธอ เมื่อวันที่เธอถือกำเนิดบนผืนแผ่นดินไทย เธอเก็บรักษาไว้อย่างทะนุถนอม เพื่อเป็นสื่อสัมผัสถึงความรักของบุพการีที่มีต่อเธอ มานานกว่า ๕๐ ปี เธอได้นำมาบริจาคเข้าร่วมโครงการช่วยชาติ ร่วมกับพ่อแม่พี่น้องผู้รักชาติ บัดนี้ได้หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับทองคำทั้งปวงที่ส่งมอบเข้าคลังหลวงด้วยแล้ว ความจริงที่บังเกิดขึ้นในขณะที่ดำเนินการหลอมทองรูปพรรณคือ ทองรูปพรรณทั้งหลายจะค่อยๆ ยุบตัวลงทีละน้อย ทีละน้อยจนเป็นเนื้อเดียวกัน ขณะที่ยุบตัวลง ทองเหล่านั้นมีกลิ่น กลิ่นระเหยขึ้นมาจากเตาหลอม กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นแป้งร่ำ น้ำหอม กลิ่นเหงื่อไคล กลิ่นอายตัวของผู้ที่เคยสวมใส่ มันเป็นกลิ่นหอมที่สุดบนแผ่นดินไทย และเมื่อละลายตัวเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ทองคำเหล่านั้นมีลักษณะเป็นน้ำข้นๆ และมีสีแดงเข้ม ข้นและเข้มดังเลือดของคนไทยทั้งชาติ
ในคราวปิดโครงการช่วยชาติ ณ สวนอัมพรวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๗
|
ทองคำที่หลวงตามหาบัวได้เมตตารวบรวมมาเพื่อนำเข้าคลังหลวงแต่ละครั้ง จึงมิใช่ทองคำธรรมดา แต่เป็นทองคำที่ทุกอณูของมวลสาร มีพลังแห่งความรักชาติ และมีอานุภาพของพระพุทธศาสนา พระบารมีของพระมหากษัตริย์เจ้า ผสมผสานเกาะกุมยึดเหนี่ยวร่วมกันอยู่ในเนื้อทองคำเหล่านี้ด้วย ...บัดนี้ คลังหลวงที่หลวงตาได้เมตตาพารักษาและรวบรวม ทองคำและดอลลาร์ เพิ่มเติมสินทรัพย์ในคลังหลวงให้เพิ่มพูนขึ้น เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่หล่อเลี้ยงลมหายใจ และอวัยวะทางเศรษฐกิจทางการเงิน ให้ค่อยๆ พลิกคืนฟื้นตัวมาได้ จนใช้หนี้ ไอ เอ็ม เอฟ ได้ครบถ้วนก่อนกำหนด ด้วยคำอุทานว่าเหลือเชื่อ บรรดาสินทรัพย์เหล่านี้ แม้มีค่าเท่าใดเป็นเพียงค่าที่โลกสมมุติ แต่พระธรรมและน้ำใจของพระ อีกทั้งน้ำใจของคนทั้งชาติมีค่าแท้จริง และมีค่ายิ่งกว่าตัววัตถุ…”
ด้วยเมตตาธรรมของหลวงตาที่มีต่อชาติไทยและต่อชาวไทยจนกลายเป็นจุดเริ่มแห่งการช่วยชาติและโครงการช่วยชาติในเวลาต่อมา จนกระทั่งบัดนี้การดำเนินงานในโครงการช่วยชาติได้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์แล้ว อีกทั้งประเทศชาติก็พ้นจากภาระหนี้สินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “โครงการช่วยชาติ” จึงเป็นประวัติศาสตร์แห่งความภาคภูมิใจของพี่น้องชาวไทย ที่ได้ร่วมกันจารึกไว้ว่า เมื่อยามบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะคับขัน ชาวไทยทุกคนจากทั่วทุกมุมโลก ต่างแสดงความรักชาติ ด้วยความเสียสละ พร้อมเพรียงสามัคคี จนกระทั่งเมืองไทยสามารถกอบกู้ศักดิ์ศรี ความดีงาม กลับฟื้นขึ้นมาอย่างสง่างามในเวทีโลก
|