พิธีมอบทองคำเข้าคลังหลวงครั้งที่ ๑๔ |
ผู้แทนโครงการช่วยชาติ พลเรือโทตรีรัตน์ ชมะนันท์ กล่าวรายงาน พิธีมอบทองคำเข้าคลังหลวง ครั้งที่ 14 ขอพระราชทานกราบทูลใต้ฝ่าพระบาท ข้าพระพุทธเจ้า พลเรือโทตรีรัตน์ ชมะนันท์ ผู้แทนโครงการช่วยชาติ พร้อมด้วย พุทธศาสนิกชน และประชาชนที่มาเฝ้าใต้ฝ่าพระบาท ณ ที่นี้มีความปลาบปลื้มและสำนึกในพระกรุณาเป็นล้นพ้น ที่ใต้ฝ่าพระบาทได้เสด็จทรงเป็นองค์ประธานในพิธีมอบทองคำเข้าคลังหลวง ครั้งที่ ๑๔ วันนี้จึงนับเป็นวันมหามงคลยิ่งของพวกเราชาวไทย จะได้มีการประกอบพิธีมอบทองคำ เพื่อนำไปเพิ่มพูนสินทรัพย์ในคลังหลวง เป็นสมบัติของพี่น้องและลูกหลานชาวไทยสืบไป
โดยข้อเท็จจริง โครงการช่วยชาติโดยองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ปิดโครงการช่วยชาติไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๔๗ โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีดังกล่าว แต่หลังจากนั้นมา ก็ยังคงมีประชาชนผู้รักชาติ ผู้มีจิตศรัทธา และมีความเชื่อมั่นในองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ถวายทองคำเพื่อให้หลวงตารวบรวมมอบเข้าคลังหลวง ซึ่งได้กำหนดพิธีมอบทองคำเข้าฝ่ายออกบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งในวันนี้ จากประวัติศาสตร์ชาติไทย บุรพมหากษัตริยาธิราชและบรรพบุรุษท่านต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการกว่าจะวางรากฐานบ้านเมือง ให้ลูกหลานได้อยู่อย่างผาสุกร่มเย็นตลอดมาจนทุกวันนี้ ท่านต้องยอมพลีชีพ พลีทรัพย์สินเงินทอง พลีครอบครัวเหย้าเรือน เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายออกไปต่อสู้เพื่อรักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้ ท่านต้องเพียรเสาะแสวงหารายได้เพื่อนำมาพัฒนาบ้านเมือง ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ท่านก็รู้จักใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลและมีประมาณ แม้กระนั้น ท่านยังพอใจที่จะตัดแบ่งทรัพย์ โดยแยกเก็บสะสมไว้เป็นทุนรอนแก่ลูกหลานในวันหน้า และจากอดีตที่ผ่านมา ท่านก็ไม่เคยก่อหนี้สินพะรุงพะรังให้ลูกหลานที่เกิดมาภายหลังต้องแบกหามภาระอันหนักหนา หรือต้องมาทนทุกข์ยากลำบากเพราะท่าน แม้ยามวิกฤตไม่มีทางออก ลูกหลานก็ได้อาศัยทุนสำรองที่บรรพบุรุษท่านเก็บสะสมไว้ มาช่วยไถ่ถอนบ้านเมือง เช่นเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ปีพุทธศักราช ๒๔๓๖ ต้องใช้ทั้ง “เงินถุงแดง” ที่เก็บไว้ตั้งแต่รัชกาลที่ ๓ ยาวนานถึงรัชกาลที่ ๕ และใช้เงินทองบริจาคของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ พระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนข้าราชการ จึงสามารถระงับดับไฟให้ผ่านพ้นไปจากสยามประเทศได้ จาก เงินถุงแดง จนกระทั่งในปัจจุบันเรียกว่า ทุนสำรองเงินตรา เป็นการเรียกชื่อของ “คลังหลวง ตามความหมายของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แต่สิ่งที่บุรพมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ตลอดจนบรรพบุรุษทุกยุคสมัย ท่านดำรงรักษาไว้อย่างมั่นคงตลอดกาลนั้นมิได้เคยแปรเปลี่ยนไปเลย การมอบทองคำเข้าสู่ “คลังหลวง” ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และพี่น้องประชาชนทั่วประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๑ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เป็นสัญลักษณ์แสดงออกถึงความรักความเสียสละและสามัคคีของคนในชาติ ตลอดจนเป็นการประกาศเจตนารมณ์ที่จะดำเนินรอยตามบรรพบุรุษเพื่อปกป้อง “คลังหลวง” จะรักษาหลักการและเจตนารมณ์ของ “คลังหลวง” มิให้แปรเปลี่ยนไป เพราะคลังหลวงคือหัวใจของชาติ เมื่อสิ้นคลังหลวงก็เท่ากับสูญสิ้นแล้วซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ การมอบทองคำแท่งในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ ๑๔ โดยประกอบด้วยทองคำแท่งบริสุทธิ์ ๙๙.๙๙% จำนวน ๔๘ แท่ง น้ำหนัก ๖๐๐ กิโลกรัม หลังจากพิธีมอบในวันนี้แล้ว จำนวนทองคำแท่งบริสุทธิ์ ๙๙.๙๙% ที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว จะมีทั้งสิ้น ๙๓๑ แท่ง น้ำหนัก ๑๑,๖๓๗.๕ กิโลกรัม และเงินดอลลาร์สหรัฐ ๑๐,๒๑๔,๖๐๐ เหรียญ คิดเป็นเงินบาทในวันนี้รวมประมาณ ๑๐,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ด้วยเมตตาอันเปี่ยมล้นของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ปลุกจิตสำนึกชาวไทยให้รู้ซึ้งในหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกี่ยวกับ “โภควิภาค ๔” และ “ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม ๔” ท่านสอนให้จัดสรรทรัพย์ออกเป็นส่วน รู้จักว่าส่วนใดควรใช้ ส่วนใดควรลงทุน และส่วนใดพึงเก็บรักษาไว้ในยามจำเป็น มิให้สุรุ่ยสุร่าย ท่านให้ขยันหมั่นเพียรในการงานชอบ รู้จักรักษาทรัพย์ไม่ให้เสื่อมสูญไป คบคนดีเป็นมิตร และมีประมาณในการกินอยู่ใช้สอย ไม่ดีดดิ้นเกินตัว บัดนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ความวิริยะอุตสาหะขององค์หลวงตาได้บรรลุผลทั้งด้านวัตถุและด้านจิตใจ เป็นการสร้างคน สร้างชาติ และบำรุงพระพุทธศาสนาไปพร้อม ๆ กัน ขอผลานิสงส์ในครานี้ ถวายเป็นปฏิบัติบูชา เป็นพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชวโรกาสทรงมีพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา และ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระมหาบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ตลอดจนบรรพบุรุษของไทย จงเป็นผลให้แผ่นดินไทยและประชาชนชาวไทย มีความร่มเย็นเป็นสุขภายใต้ร่มเงาของพระบวรพุทธศาสนาตลอดกาลนาน "ทองคำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับพระราชทานในครั้งนี้จำนวน ๔๘ แท่ง น้ำหนักรวม ๖๐๐ กิโลกรัม จะนำเข้าเป็นทุนสำรองเงินตราเพื่อเพิ่มสินทรัพย์ของชาติ และจะดูแลรักษาให้มีความมั่นคงตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน สืบไป" |
< ก่อนหน้า |
---|