| ๒๕ แนวคิดออกกฎหมายรวมบัญชี ๒๕๔๓ |
|
|
|
ในอดีตพระมหาบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าทรงก่อตั้ง “ทุนสำรอง” ขึ้นโดยแบ่งเงินออกมาจาก “คลังหลวง” ซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นหลักประกันของชาติในการติดต่อระหว่างประเทศ เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของชาติ และเพื่อสำรองไว้ในยามจำเป็น พระองค์จึงทรงเก็บรักษาไว้เป็นกรณีพิเศษ มิให้ปะปนกับทรัพย์อื่นใดในแผ่นดินทั้งสิ้น หลักการและเจตนารมณ์ดังกล่าวได้รับการสืบทอดมาอย่างเคร่งครัด รุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่อมาเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองมีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว บรรพบุรุษท่านก็พากันดำเนินตามหลักการนี้เช่นกัน กฎหมายทุกฉบับที่ตราไว้ล้วนแล้วแต่รองรับหลักการและเจตนารมณ์นี้ ถึงขนาดที่ว่า เกิดวิกฤตการณ์บ้านเมืองหลายต่อหลายครั้ง ท่านก็ไม่เคยเข้ามาแตะต้องหรือทำลาย “คลังหลวง” ให้แปรเปลี่ยนไป กล่าวได้ว่า ท่านใช้ความไม่ประมาทเป็นหลักธรรมในการปกครองประเทศ ท่านจึงเห็นความสำคัญของ “คลังหลวง” และดูแลรักษา “คลังหลวง” เป็นกรณีพิเศษ
มาในระยะหลัง ความคิดเห็นของคนยุคนี้เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มดูถูกความคิดของบรรพชนว่าล้าหลังคร่ำครึ การเก็บเงินเก็บทองทำให้จม ไร้คุณค่า ไม่จำเป็นต้องเก็บสินทรัพย์ไว้มากเป็นการเสียโอกาสที่จะได้ผลตอบแทน ควรนำไปแสวงหาประโยชน์ หรือไม่ก็กล่าวถึงขนาดว่า ไม่จำเป็นต้องมี “ทุนสำรอง” ก็ได้ ไม่มีความจำเป็นอะไร ฯลฯ ความรู้สมัยใหม่ที่ไม่เท่าทันเหล่านี้เริ่มก้าวล่วงเข้ามาทำลายหลักการและเจตนารมณ์ของ “คลังหลวง” เข้าไปทุกทีแล้ว ประหนึ่งว่าการสะสมเงินทองไว้นั้นไม่มีคุณค่าอะไรเลย คนกลุ่มนี้ดูถูกเงินจำนวนน้อยๆ โดยเฉพาะหากใครพยายามเก็บเล็กผสมน้อย คนกลุ่มนี้จะดูถูกว่าไร้สาระและมองเงินจำนวนน้อยนี้ว่าเป็นเงินไร้ค่าทันที มักจะพูดแบบนักวิชาการผู้ฉลาดปราชญ์เปรื่องว่า เงินแค่น้อยนิดนี้จะทำอะไรได้ แต่ก็น่าประหลาดใจที่ในขณะเดียวกัน คนกลุ่มนี้มักเห็นพ้องต้องกันว่า ควรเข้าไปล้วงเอาเงินใน “คลังหลวง” ออกมาใช้ และอ้างว่าไม่ควรเก็บไว้เฉยๆ เพราะได้ดอกผลน้อยเกินไป ถ้าเอาไปลงทุนจะได้กำไรดีกว่านี้ ทั้งๆ ที่ก็ทราบกันดีว่าเงินใน “คลังหลวง” จำนวนมากจนอยากได้นี้แรกเริ่มเดิมทีก็เกิดจากเงินจำนวนน้อยที่ค่อยสะสมกันมาแบบมีวินัยไม่ให้ใครมาแตะต้องจนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นๆ ทำให้เงินบาทเรามั่นคงอยู่ได้ก็จากเงินคลังหลวงนี้เป็นสำคัญ ความคิดดังกล่าวเหมือนกับการไม่ยอมรับในกฎอนิจจังตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา จึงไม่เคยคิดอีกด้านหนึ่งบ้างว่า หากเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ให้ผลลัพธ์เป็นตรงกันข้ามขึ้นมาแล้วอาจทำให้ชาติล้มละลายในทันทีได้หรือไม่ หากใครคิดแบบนี้เขาเหล่านั้นจะดูถูกเพราะเขาคิดเป็นอย่างเดียวว่า “ไม่มีทาง เอาไปลงทุนแล้วต้องได้ ได้” ไม่เคยคิดว่า ถ้าผลไม่เป็นเช่นนั้นแล้วจะเสียหายหรือไม่ หรืออาจถึงขั้นจมเลยก็เป็นได้ ดังตัวอย่างคราว “วิกฤตเศรษฐกิจ ๒๕๔๐” ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้
นิสัย ค่านิยมเฉพาะซึ่งต่างจากชาติอื่น หรืออีกเหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะมีอคติไม่ใช้หลักวิชาที่แท้จริงจากข้อเขียนของดร.วีระพงษ์ รามางกูร ได้กล่าวถึงดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ผู้เป็นแบบอย่างที่ดีงามแก่นักเศรษฐศาสตร์นักการเงินการคลังว่า เมื่อสังคมพบว่าผิดพลาดเขาก็จะขจัดออกไป ต่อไปเขาก็ไม่ให้ทำ ส่วนนักเศรษฐศาสตร์ทำผิดพลาด บ้านเมืองอาจจะล่มจม ล้มละลาย ผู้คนตกงาน มีความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส มีคนฆ่าตัวตาย เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม เกิดความปั่นป่วนทางการเมืองและสังคม กว่าจะแก้ไขได้ก็หลายปีแนวความคิดดังกล่าวนี้นอกจากจะเป็นการปล้นเอาสมบัติผู้อื่นโดยขาดความเคารพขาดความกตัญญูรู้คุณท่านแล้ว ยังบ่งบอกถึงการใช้หลักวิชาการเงินการคลังที่ผิดธรรม เนื่องจากไม่ตระหนักถึงความจำเป็นของชาติที่ต้องเก็บรักษาทรัพย์ของแผ่นดินสำรองไว้ใช้ในยามคับขันจึงเป็นแนวคิดที่ประมาทและจะนำพาชาติสู่ความหายนะได้ในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน ความพยายามในการตรากฎหมายรวมบัญชี
|
|||||||||||||||||||||||||||||
| < ก่อนหน้า | ถัดไป > |
|---|